life

ใจหาย

ช่วงนี้รู้สึกโหวง ๆ

บอกไม่ถูก คือมันโล่ง ๆ หวิว ๆ (แต่ไม่วาบหวาม)

มันคงเป็น Quarter-Life Crisis เรียกว่าอะไรดี วิกฤตวัยสลึง/วัยกระเบียด/วัยกั๊ก เรอะ (ฮา)

ตั้งแต่เกิดมามันก็ดูจะมี "เป้าหมายต่อไป" ตลอด จบประถมก็เข้าโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด (บ้านใกล้ จับฉลากได้ ไม่ต้องลุ้น) จะอยู่ต่อถึงมอหกก็ได้ แต่ดันมาโผล่อยู่นครปฐมสามปี แล้วก็เด้งมาอยู่ปทุมธานีอีกสี่ปี

คือแต่ละช่วงที่ผ่านมามันค่อนข้างแน่นอน อาจไม่แน่นอนว่าไปที่ไหน แต่ก็พอจะรู้ว่าต้องไปอยู่ในบรรยากาศไหน

แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน ไอ้ทางเลือก เรียนต่อ/ทำงาน มันก็ถือว่าเป็น "เป้าหมายต่อไป" ได้อยู่ แต่มันดูไม่แน่นอนเอาซะเลย

เมื่อสักครึ่งปีก่อนก็บ่นอยู่นั่นว่าเบื่อ เมื่อไรจะเรียนจบ พอมันมาถึงแบบพรุ่งนี้มะรืนนี้แล้วก็รู้สึกว่า เฮ้ย! เร็ว!

พูดว่าเวลาผ่านไปเร็วก็ไม่ใช่ นั่งจัดการไฟล์ในคอมเครื่องเก่ามันก็นึกย้อนไปได้เยอะมาก แต่ละปีทำเรื่องบ้าบออะไรไว้บ้าง

ไม่อยากจะใช้คำนี้เลย รู้สึกว่ามันเลี่ยน น้ำเน่า แอบด่าคนอื่นในใจไว้เยอะ

แต่ใจหายจริง ๆ นะ

The Only Good To-Do List Is A Written One

ผมเป็นคนที่ใช้ to-do list อย่างไม่สม่ำเสมอ แล้วแต่ปริมาณงาน และความขี้เกียจ วิธีการก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ

แรก ๆ พยายามใช้ Google Calendar เพราะส่ง sms เตือนฟรี แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ค่อยได้เรื่อง ต้องเข้าเว็บแถมไม่ได้เห็นตลอดเวลา เข้าทาง Aus den Augen, aus dem Sinn ส่วน sms ที่ปกติเอาไว้เตือนเหตุการณ์ทั่วไปพอเอามาใช้กับงานก็ช้าเกิน (ตั้งให้ส่งล่วงหน้า 1 วัน) จะตั้งให้ส่งล่วงหน้าหลายวันก็ลืม ให้ส่งหลายรอบก็รำคาญ สรุปใช้สมุดจด (ใช้มือถือไม่ได้ กากเกิน ยังจอขาวดำอยู่เลย)

พอปลายปี 2008 บังเกิด Google Tasks ก็พอใช้ได้เพราะไปอยู่หน้า GMail ด้วย แต่ต้องเข้าเว็บอยู่ดี ใช้สมุดจดต่อไป

มีนาคม 2009 ใช้ Google Calendar แบบ offline ได้ โอเคมากขึ้น แต่ต้องเปิด Firefox อยู่ดี ยังใช้สมุดจดเป็นหลัก

จนซื้อมือถือใหม่นี่แหละ รู้สึกจะเดือนเมษายน ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ เข้า GCal/GTasks ก็ได้ เขียน to-do ไว้บนหน้าจอก็ได้ แทบจะไม่ได้ใช้สมุดแล้ว

แต่ปัญหาก็คือ บางทีผมเชื่อมั่นใน to-do list มากไป ทำธุระที่จดไว้แล้วก็หลงดีใจ หารู้ไม่ว่ามีบางอย่างที่ลืมจดลงไปตั้งแต่แรก ทำชีวิตน่าเศร้ามาหลายหนแล้ว นี่คือปัญหาสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ทำไงดี

เสียงรบกวนจากงานเลี้ยงในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต

เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อกี้นี่เอง กรุณาอ่านข้อมูลประกอบเหล่านี้ก่อน

  • หอสมุดในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีหลัก ๆ สองที่ คือ หอสมุดป๋วย อึ๊งภากรณ์ เก็บหนังสือทุกประเภท และหอสมุดศูนย์รังสิต เก็บหนังสือสายวิทยาศาสตร์
  • วันนี้หอสมุดป๋วยฯ ปิดสามทุ่ม แต่หอสมุดศูนย์รังสิตปิดห้าทุ่ม เพราะยังมีบางคณะสอบอยู่
  • ผมเข้าใจว่าบุคคลภายนอกสามารถขอเช่าพื้นที่มหาวิทยาลัยจัดงานต่าง ๆ ได้
  • ผมเข้าใจว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในบริเวณมหาวิทยาลัยเป็นเรื่องต้องห้าม

ผมนั่งอยู่ที่หอสมุดป๋วยตั้งแต่บ่ายแก่ ๆ ฟังเพลงไปเรื่อย ๆ พอห้องสมุดใกล้ปิด (สามทุ่ม) ก็ถอดหูฟังออก เตรียมเก็บข้าวของย้ายไปอีกหอสมุดหนึ่ง หูพลันได้ยินเสียง ตึก โป๊ะ ตึก โป๊ะ เดินออกมาข้างหน้าจึงได้รู้ว่ามีคอนเสิร์ตอยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัย (เข้าใจว่าเป็นเอกชนมาเช่าที่) ฟังดูเสียงน่าจะมาจากทางลานพญานาค ไม่ก็ศูนย์กีฬาทางน้ำ (สองที่นี้อยู่ติดกัน)

แล้วเสียงแม่งดังโคตร ๆ ที่อยู่ใกล้ลานพญานาคที่สุดคือหอพักทียูโดม (ห่างกันแค่ข้ามถนน) ผมเดินจากหอสมุดป๋วยมาจนใกล้หอพักใน เสียงแม่งก็ยังคงกึกก้อง เนื่องจากตึกต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัยเป็นตัวช่วยสะท้อนเสียงอย่างดี

จากนั้นก็เดินเลี้ยวมาหอสมุดศูนย์รังสิต ระหว่างทางก็เจออีกงานเลี้ยงนึง เข้าใจว่าเป็นของเจ้าหน้าที่ตึกนั้น แม่ง เสียงดังพอกัน ตอนเดินผ่านนี่งานใกล้เลิกแล้ว เห็นมีขวดเบียร์วางอยู่บ้างด้วย เดินเข้ามาในห้องสมุดก็ยังมีเสียง ตึบ ตึบ ตึบ อยู่ อัดคลิปมาให้ดูด้วยว่ามันใกล้แค่ไหน (จริง ๆ ตอนอยู่ในหอสมุดก็ได้ยินเสียงแล้ว แต่ไมโครโฟนมือถือมันห่วยเกิน)

ดูแผนที่ประกอบได้ หอสมุดศูนย์รังสิตที่เบอร์ 3 หอสมุดป๋วยฯ ที่เบอร์ 4 งานเลี้ยงเจ้าหน้าที่ที่เบอร์ 2 คอนเสิร์ตที่เบอร์ 39 ไม่ก็ 41

ในคลิปนี่คือเดินจากในห้องสมุดออกมาให้ดูว่า แค่ออกมาข้างหน้าก็เจองานเลี้ยงพร้อมลำโพงขนาดยักษ์แล้ว

ตอนนั่งพิมพ์อยู่นี่ก็ได้ยินเสียง ไม่รู้จากเวทีไหน อนิจจา

ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป

วันนี้ตื่นเช้าจะไปคุมแหล็บ เผื่อเวลาไว้ค่อนข้างดี ออกจากหอมาก็ไปรอรถเพื่อเดินทางไปคณะ

การเดินทางไปแถว ๆ คณะวิศวกรรมศาสตร์ SIIT หรือสถาปัตยกรรมศาสตร์เนี่ย แม่งลำบากหน่อย คือมีรถฟรีผ่านแค่สายเดียวคือสายหนึ่ง รถสองแถว (สี่บาท) ก็ผ่านอยู่สายเดียว ถ้ามอเตอร์ไซค์ก็สิบห้าบาท

เดินมาถึงป้ายรถริมถนนก็ยืนรอรถ รออยู่นาน (กว่าปกติ) วันนี้มันเป็นอะไรมีแต่รถสายสองสายสาม คงเพราะเป็นวันสอบ สักพักสองแถวสายหนึ่งก็มา ไม่มีคนเลย ก็ขึ้นไปนั่งคนเดียว สองแถวก็จอดรอคนขึ้นเพิ่ม ก็ยังไม่มี ก็นั่งอยู่อีกนาน เห็นรถฟรีสายหนึ่งกำลังมาพอดี ไอ้เราก็คิดว่า ถ้าเราลงจากรถสองแถวนี่ไป เขาก็ต้องรอต่อ หรือต้องวนไปวนมา เลยนั่งต่อ แค่สี่บาทเอง

รถฟรีสายหนึ่งแม่งเริ่มใกล้เข้ามา จนพอมันจะผ่านไปนั่นล่ะ ลุงคนขับก็เคาะกระจกบอก เอ้า ไปขึ้นรถฟรีไป แล้วก็ไล่ลง หยิบป้ายมาเปลี่ยนแปลงร่างเป็นสายสอง ไอ้เราก็ลงมายืนมองรถฟรีแล่นหายลับไปกับตา รถสองแถวนั่นพอเปลี่ยนเป็นสายสอง คนก็ขึ้นกันเพียบ แล้วก็แล่นหายลับไปกับตา

สุดท้ายยืนรอต่อไป จนมีมอเตอร์ไซค์ผ่านมาจึงเดินทางไปถึงคณะได้ สายไปหนึ่งนาที

คราวหน้าถ้าผมนั่งอยู่บนสองแถว แล้วเห็นรถฟรีเส้นทางเดียวกันผ่านมา ก็คงจะลงจากสองแถวแล้วไปขึ้นรถฟรีได้อย่างสบายใจสินะ

ป.ล. หัวข้อมันเกี่ยวอะไรกับเนื้อหาวะครับ

สักวาวันอาทิตย์

เอาซะหน่อย ตื่นมาเมื่อบ่าย โงหัวขึ้นมาบิดขี้เกียจ แล้วมันก็พรวดเข้ามาในหัว มาบันทึกไว้ก่อนจะหมดวัน

สักวาวันอาทิตย์บิดขี้เกียจ นั่งละเลียดรับลมชมหน้าหนาว พักภาระไว้ก่อนนอนเหยียดยาว นอนเหงาหง่าวเปล่าเปลี่ยวคนเดียวเอย

วันหยุดจงเจริญ~

ดู / ฝน / ดาว / ตก

ดู    ท้องฟ้ากว่าสองยามนึกความหลัง
ฝน    ดาวครั้งก่อนเรายังเยาว์นัก
ดาว    เพียงฉายประกายคำทำเสียหลัก
ตก    หลุมรักร่วงลงด้วยหลงเริง

Rain Dogs

ผมเพิ่งเดินออกมาจากร้าน Rain Dogs เมื่อตะกี้ ในหัวยังเต็มไปด้วยบทสนทนาหลากหลาย ตั้งแต่เรื่องภาษา ละคร ภาคเหนือ เชื้อชาติ เลยเถิดไปถึงเรื่องรสนิยมทางเพศ ผี และกรรม!

ร้าน Rain Dogs ถูกนิยามไว้โดยนิตยสาร BK ว่าเป็น "ร้านสไตล์โบฮีเมี่ยน ตกแต่งอย่างอบอุ่น เปิดเพลงอินดี้ และไม่มีพวกแบกเป้จิตตกแบบที่ข้าวสาร" ผมก็เพิ่งมาเจอคำอธิบายนี้เมื่อกี้นี่แหละ ว่าแต่ไอ้ โบฮีเมี่ยน นี่มันเป็นยังไงฟะ (ส่วน "จิตตก" นั้นผมแปลจากต้นฉบับว่า downers ไม่รู้แปลถูกหรือเปล่า)

ถ้าให้ผมนิยาม ก็เป็นร้านที่บรรยากาศดีมาก สิ่งที่ทำให้มันน่าสนใจก็คือ มันตั้งอยู่ในที่ที่คงไม่มีใครคิดว่าจะมีมันตั้งอยู่ กล่าวคือ อยู่สุดซอยที่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินคลองเตยไปไม่มาก คือโผล่มาจากสถานี ก็เดินมุ่งไปหาทางด่วน ข้ามแยกไป เลี้ยวซ้าย เดินไปอย่างมีศรัทธา (เพราะบรรยากาศแม่งไม่ให้กับการมีร้านพรรค์นี้เลย มีแต่บ้านคนธรรมดา) ก็จะเจอร้านนี้ ตั้งอยู่ใต้ทางด่วน

ที่ถ่อมาถึงนี่ ก็เพราะได้รับคำชวนทาง facebook ว่าจะมีการฉายหนังเรื่อง Examined Life (ใช่แล้ว อ้างอิงจากคำกล่าวของโสเครตีส ที่ว่า The unexamined life is not worth living.) เป็นการรวมบทสัมภาษณ์นักปรัชญาอเมริกันร่วมสมัยหลายคน เกี่ยวกับเรื่องกว้าง ๆ คือ การใช้ชีวิต ซึ่งแต่ละคนก็พูดไปตามประเด็นที่ตนเองสนใจ ลองดูตัวอย่างได้

หลังจากหนังจบก็นั่งฟังเพลงคุยอะไรไปเรื่อยเปื่อย ด้วยความที่กลับหอไม่ได้ (ฮา) คือหอปิดเที่ยงคืน แล้วผมแม่งกลับเกินเวลาบ่อยไปหน่อย เขาบอกนิ่ม ๆ ว่า มีครั้งหน้าอีกก็เชิญออกไปได้เลยนะ (นิ่มตรงไหนวะ) ก็เลยนั่งไปเรื่อย ๆ ออกมาตอนตีสามกว่า ๆ มาลงเอยที่ Bug & Bee ร้านสุดฮิตที่สีลม

ตอนนี้กำลังรอฟ้าสว่าง และ BTS วิ่ง

เล่าเรื่อง

ผมเพิ่งไปดู The Inglourious Basterds มาเมื่อวันอาทิตย์ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนหนังจบก็คือ ตาแรนติโน่ ผู้กำกับและเขียนบท แม่งคิดได้ไงวะ ทั้งฉากโหด ๆ ในหนัง และบทเรื่องที่อลหม่านพินาศฉิบหายวายป่วงพลิกความคาดหมายแบบนั้น ช่วยไม่ได้จริง ๆ ที่จะสงสัยว่าคนที่คิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นมาได้นี่จะมีชีวิตประจำวันอย่างไร แน่นอนว่าถ้าคิดอย่างมีเหตุผลหน่อยมันก็โยงไม่ได้ตรง ๆ ขนาดนั้นว่าคนที่สร้างสรรค์ผลงานในอารมณ์หนึ่ง ๆ จะต้องเป็นคนที่จมอยู่กับอารมณ์นั้น ๆ หรือคุ้นเคยกับอารมณ์นั้น ๆ แต่มันก็น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องในทางรสนิยมบ้างล่ะน่า

ผมเป็นคนที่ชอบอ่านเรื่องสั้น หรือนวนิยายขนาดสั้น เพราะรู้สึกว่ามันจบในตอน ได้รู้บทสรุปอย่างรวดเร็ว (แต่ก็เป็นแฟนตัวยงของนิยายยาว ๆ อย่างชุด The Lord of the Rings นะ) เพิ่งซื้อหนังสือรวมเรื่องสั้นของโดนั่ลด์ บาร์เธลมี่ มาอ่าน แต่ละเรื่อง (ความยาวไม่กี่หน้า) ก็ค่อนข้างหลุดโลก ก็ชวนให้คิดว่าคนเขียนเขาคิดอะไรอยู่ถึงเขียนมันออกมาได้

คนที่ชอบอ่านเรื่องสั้น (จริง ๆ ไม่ต้องเรื่องสั้นหรอก แค่ชอบอ่าน) ก็คงอยากจะเขียนเรื่องของตัวเองบ้าง ผมเองก็ด้วย ก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไม คงเป็นอารมณ์หนึ่งของสัตว์สังคมอย่างมนุษย์ที่ต้องการสื่อสารความคิดของตนเองกับคนอื่น ๆ ผ่านช่องทางที่ชอบ (แล้วก็เห็นคนรู้จักเขียน แล้วชอบ อยากเขียนบ้าง) แต่ปัญหาก็คือ ผมไม่แน่ใจนักว่าคนที่อ่าน (หรือถูกยัดเยียดให้อ่าน) จะโยงเรื่องสั้นที่เขียน กับตัวผมหรือเปล่า (แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจก็เถอะ) ทั้ง ๆ ที่มันอาจไม่ได้มาจากสิ่งที่คิดจริง ๆ แต่เป็นการพยายามคิด หรืออาจจะเป็นสิ่งที่ผมคิดจริง ๆ ก็ได้ พูดง่าย ๆ คือ ใจหนึ่งก็อยากเขียน อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากให้คนอ่านโยงสิ่งที่เขียนกับตัวจริงของคนเขียน (ทั้ง ๆ ที่มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะโยง)

เว็บสองจุดศูนย์รำพัน

อยากให้เธอ มาเม้นท์ ใน Hi5 อยากให้เธอ กด Like ใน Facebook แลกเพลงฟัง ใน iMeem คงเป็นสุข นึกสนุก กดไป Digg ให้เธอ

ฉันจะมี Multiply ไว้ใส่รูป จะส่งจูบ จุ๊บจุ๊บไป ใน Twitter Share เรื่องหวาน ผ่าน Goo- gle Reader เข้า Flickr ดูหน้าเธอ ให้ชื่นใจ

จะบันทึก ความลุ่มหลง ลง Wordpress สร้าง MySpace แล้ว add เธอ เป็น friend ไว้ เปิด Latitude คอยดู เมื่ออยู่ไกล เขียนถึงใน Livejournal ทุกเช้าเย็น

แค่นั่งนึก นั่งฝัน กลางวันไป เพราะตัวเรา นั้นไซร้ เธอไม่เห็น เว็บที่เรา เล่าไว้ เธอไม่เล่น ซ้ำหลบเร้น หลีกเรา เศร้าสุดทรวง

Subscribe to life