การออกแบบเพื่อสร้างความรู้สึกร่วมสูงสุด โดย นพดล ลิ้มวัฒนะกูร ผู้ออกแบบ "มิวเซียมสยาม" @ TCDC

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาได้ไปฟังบรรยายที่ TCDC - สำนักงานศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ ในหัวข้อ

การออกแบบเพื่อสร้างความรู้สึกร่วมสูงสุด (Design of Maximum Engagement : Exhibition That Speaks)

ผู้บรรยายคือคุณนพดล ลิ้มวัฒนะกูร ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบ บริษัท designLAB MISC Co., Ltd. ผลงานเด่นของเขาคือ การออกแบบพิพิธภัณฑ์ "มิวเซียมสยาม" ที่กำลังเป็นที่กล่าวขวัญ (ไม่เชื่อค้นใน Google ดูดิ)

ผมเองก็ไม่ได้เรียนออกแบบหรอกครับ มิวเซียมสยามนี่ก็ไม่เคยไป (หาเพื่อนไปด้วยอยู่ สนใจไหม อิอิ) แต่เห็นว่าหัวข้อมันน่าสนใจดี (และฟรี) เผื่อจะช่วยเรื่องการออกแบบเวบได้บ้าง

ต่อไปนี้เป็นสรุปใจความสำคัญ (เท่าที่ผมเข้าใจ) คำเตือน : ยาวบรรลัยเลยครับ เกริ่น

คุณนพดลเกริ่นก่อนว่า สิ่งสำคัญที่สุดของการออกแบบงานประเภทให้ข้อมูล เช่น นิทรรศการ หรือเวบไซต์ คือมุมมองของผู้ใช้หรือลูกค้า บางทีความสวยงามหรูหราควรเป็นเรื่องรอง เพราะมันอาจลดทอน "ความง่าย" ในการเข้าใจเนื้อหา ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของสิ่งที่เราออกแบบ

นั่นนำมาสู่คำว่า "usability" หรือความง่ายในการใช้งาน คุณนพดลได้เสนอสองหลักการของ usability คือ

  • ความเรียบง่ายของการออกแบบ เพื่อลดความสับสนจากข้อมูลที่มากเกินไป (information overload)
  • ความราบรื่นของการรับข้อมูล (เอิ่ม ต้นฉบับใช้คำว่า smooth) เพื่อความเข้าใจของผู้ชม

เหตุที่ต้องเน้น usability ก็เพราะว่า จากการศึกษา พวกงาน expo ทั้งหลายนี้ (โดยทั่วไป) จะมีเวลาแค่ 15 วินาที ที่จะดึงผู้ชมเข้ามาในซุ้ม กล่าวคือ ถ้าเขามายืนดูหน้าซุ้มเกิน 15 วินาทีแล้วยังงง ก็มีสิทธิ์ที่เขาจะเดินไปดูซุ้มอื่น

แล้วเราจะเข้าถึง usability ได้อย่างไร

เราต้องเรียนรู้จากผู้ใช้ ต้องออกแบบมันขึ้นมาโดยสมมติตนเองเป็นผู้ใช้ ต้องสร้าง design language ขึ้นจากประสบการณ์ของผู้ใช้ (เอิ่ม ผมไม่ค่อยเข้าใจเรื่อง design language ใครทราบช่วยอธิบายหน่อยครับ)

การออกแบบพิพิธภัณฑ์แห่งนี้

กรอบความคิดหลักของมิวเซียมสยามก็คือ เป็นการเล่าประวัติศาสตร์ไทยจากปากคน ไม่ใช่เล่าโดยรัฐอย่างที่เราอ่าน ๆ ท่อง ๆ กันมาแต่เด็ก เพื่อที่จะให้มันแตกต่างและไม่น่าเบื่อ

เริ่มจากการออกแบบเส้นทางเดินก่อนเลย เขาว่าพิพิธภัณฑ์นี่ก็เหมือนภาพยนตร์ยาว ๆ เรื่องหนึ่ง จำเป็นต้องมี "ตัวอย่างหนัง" (teaser) ให้ดูกันก่อน นั่นก็คือสรุปเรื่องราวคร่าว ๆ (แต่ไม่เฉลยส่วนสำคัญ) ให้ดูกันก่อน เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับผู้ชม

"ตัวอย่างหนัง" ของ มิวเซียมสยาม นี้ก็ปรากฏอยู่ในห้องแรกสุด เป็นจอภาพฉายขนาดยาวมาก (ผมไม่เคยไป เขาบอกว่า 20 เมตร) มีฉายภาพยนตร์สั้น ๆ เกี่ยวกับตัวละครที่แตกต่างกันในทางเชื้อสาย 7 คน เป็นคนธรรมดา ๆ ที่ผู้ชมจะได้เห็นว่าชาติที่แล้ว พวกเขาเป็นใครมาก่อน

ต่อมาคือกำหนดการ (agenda) หรือลำดับของข้อมูล เริ่มจากคำถามที่ว่า "เราเป็นคนไทยจริงหรือ" แล้วเสนอให้เห็นว่าสิ่งที่ (ดูเหมือนจะ) เป็นเอกลักษณ์ของไทย เช่น ตุ๊กตุ๊ก ส้มตำ มวยไทย บางอย่างเราก็ปรับเปลี่ยนมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ถ้าอย่างนั้นคนที่อาศัยใกล้ ๆ ไทยนี่เป็นคนไทยด้วยหรือไม่

คุณนพดลบอกว่า การที่จะให้ผู้ชมประทับใจนั้น ต้องมีการทำให้ประหลาดใจในช่วงแรก ๆ เพื่อให้เกิดความตื่นเต้น ตรงนี้ผมโดนสปอยล์ครับ เขาบอกว่าในห้องถัด ๆ มา ตรงโครงกระดูกของมนุษย์โบราณ พอไปยืนดู จะมีวิดีทัศน์เกี่ยวกับวิถีชีวิตคนโบราณฉายออกมา

สิ่งที่สำคัญที่สุด และเป็นจุดขายของพิพิธภัณฑ์นี้ก็คือ ของต่าง ๆ ที่ "เล่น" ได้ (ผมไม่รู้จะแปลคำว่า interactive ให้มันรัดกุมอย่างไรดี) สาเหตุหลักอย่างหนึ่งก็คือมิวเซียมสยามมีของให้ดูน้อยกว่าที่อื่น เลยต้องใช้ interactive มาเป็นจุดเด่นแทน

เทคโนโลยีที่ใช้ในมิวเซียมสยามนั้นมีหลากหลายมาก ทั้งโลว์เทคและไฮเทค ซึ่งระบบอะไรที่มันง่าย ๆ จะเป็นสิ่งที่ดีกว่า เพราะเรียนรู้การใช้งานง่ายกว่า แต่บางอย่างที่ไฮเทคก็สามารถช่วยสื่อความได้ดีกว่า นึกถึงการอ่านการ์ตูนในหนังสือ (ก็แค่หยิบหนังสือมาอ่าน) กับการดูหนังการ์ตูน (ต้องใช้เครื่องเล่นเป็น ต้องมีอุปกรณ์)

ตัวอย่างเทคโนโลยีใน มิวเซียมสยาม

  • ภาพที่มองได้ 2 แบบจากหลายมุม คือผมไม่รู้ชื่อเฉพาะของมันแฮะ เอาเป็นว่าน่าจะเคยเห็น ที่มองมุมหนึ่งเป็นภาพหนึ่ง พอมองจากอีกมุมภาพก็เปลี่ยน เทคโนโลยีนี้ใช้ในการแสดงการเปรียบเทียบเกาะรัตนโกสินทร์ในปัจจุบันกับสมัยโบราณ (ในอดีตน้ำท่วมเสียส่วนมาก) เพื่อให้เห็นความแตกต่างบนพื้นที่เดียวกัน จึงบอกให้คนดูเดินดูจากมุมหนึ่ง ไปมุมหนึ่ง
  • จอสัมผัส อันนี้ใช้โคตรเยอะครับ เพราะมือคนนี่เป็นตัวประสานที่ทุกคนคุ้นเคยมากที่สุด แต่มีจอสัมผัสอันเด่น ๆ ที่ไม่ได้ใช้มือคนคือเกมขุดหาโบราณวัตถุ โดยจะมีแปรงเตรียมไว้ให้ ค่อย ๆ ปัดบนจอก็จะเจอสิ่งของพร้อมคำอธิบายเรื่อย ๆ อีกอันหนึ่งคือโต๊ะเปรียบเทียบกรุงศรีอยุธยากับกรุงรัตนโกสินทร์ คือถ้าเป็นกระดานภาพเฉย ๆ มันก็น่าเบื่อ เลยมีแผนที่ของทั้งสองกรุง ที่เมื่อแตะที่สถานที่ในกรุงหนึ่ง (เช่นวัด) ก็จะปรากฏลูกศรเชื่อมโยงกับสถานที่นั้นในอีกกรุงหนึ่ง พร้อมคำอธิบายความเหมือนหรือความแตกต่าง
  • ภาพเคลื่อนไหว อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ปกติไปแล้ว แต่ที่น่าสนใจสำหรับมิวเซียมสยามคือ ในส่วนที่อธิบายเรื่องประเพณีขอฝน (เข้าใจว่าเกี่ยวกับตำนานพระยาแถน) ปัญหาคือภาพเคลื่อนไหวตรงนี้มันค่อนข้างนาน เขากลัวคนจะเบื่อ เลยตั้งกลองมโหระทึก (ตามประเพณีเอาไว้ตีขอฝน) พร้อมไม้ตีไว้ แล้วภาพเคลื่อนไหวจะหยุดเป็นช่วง ๆ ให้คนตีกลองเพื่อดูต่อ เพียงเท่านี้คนก็จะดูจนจบ
  • หมึกไวแสงอัลตร้าไวโอเลต (UV Ink) อันนี้จำได้ว่าเป็นอันที่คุณนพดลชอบที่สุด เพราะมันไม่ต้องใช้เทคโนโลยีอะไรมาก คือหมึกชนิดนี้ปกติจะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ต้องใช้แสงดำ (blacklight หรือแสง uv ผมอ้างคำแปลจากอภิธานศัพท์ฟิสิกส์ของราชมงคลน่ะ) สองดู มันจึงจะเรืองขึ้นมา ใช้ในกระดานที่อธิบายความเชื่อทางศาสนาของคนโบราณ ว่าเมื่อก่อนคนไทยมีความเชื่อผสมกันระหว่าง ผี (animistic) พราห์มณ์ และพุทธ หมึกนี้ก็จะถูกระบายลงในแผนที่เพื่อแสดงให้เห็นว่าบริเวณไหนมีความเชื่อแบบไหน และส่งผลต่อสถาปัตยกรรมสิ่งก่อสร้างอย่างไร ผู้ชมก็ต้องเอาไฟฉายที่เขาเตรียมไว้ ส่องบนแผนที่ไล่ดูไปจนเจอ ทำให้กระดานภาพธรรมดา ๆ ไม่น่าเบื่อ
  • จอเลื่อนได้ อันนี้ผมชอบมาก หลักการมันง่าย ๆ คือมีจอฉายภาพเคลื่อนไหว ฉายแค่ส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ โดยส่วนที่ฉายจะเปลี่ยนไปตามตำแหน่งของจอ มันถูกใช้ในการอธิบายเทคโนโลยีการสร้างวิหารปราสาทต่าง ๆ ในสุวรรณภูมิว่าบ้านเมืองเราสมัยก่อนนั้นโคตรไฮเทคเลยสำหรับยุคสำริด ภาพใหญ่บนกระดานก็เป็นภาพปราสาท ส่วนภาพบนจอจะเป็นเหมือนภาพเอ๊กซเรย์ คือให้เห็นการทำงานของคนในปราสาท คนดูก็เพลินในการเลื่อนดูว่าตรงไหนทำอย่างไร
  • หมึกไวต่อความร้อน (Thermal Ink) อันนี้เป็นสิ่งที่คุณนพดลบอกว่าเป็น easter egg หรือสิ่งที่ซ่อนไว้ เป็นแผนการตลาดอย่างหนึ่งคือไม่บอกให้คนดูรู้ว่ามีไอ้นี่ให้เล่น จนกว่าจะมีคนหนึ่งไปเจอ แล้วกลับไปบอกเพื่อน คนที่เคยมาแต่พลาดไปก็จะอยากกลับมาอีก มันถูกใช้ในห้องที่เล่าเกี่ยวกับความหลากหลายทางเชื้อชาติของคนไทย ซึ่งมีรูปเด็กมากมาย บางรูปจะเป็นรูปมืด ก็คือหมึกชนิดนี้นี่เอง ถ้ามีใครเอามือไปถู ๆ รูปก็จะโผล่ขึ้นมา ตรงนี้เป็นปัญหานิดหน่อยคือตอนทดสอบไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศ ทำให้เอาเข้าจริงแล้วหมึกมันต้องการอุณหภูมิที่สูงสักนิด ต้องถูนานหน่อย ใครไม่ได้ลองก็กลับไปลองนะครับ
  • เครื่องฉายหนังแบบเก่า (Kinetoscope) อันนี้ก็โคตรเท่เช่นกัน นึกถึงการฉายภาพยนตร์แบบโบราณ คือเอาฟิล์มมาใส่เครื่องฉาย แล้วหมุนเองด้วยมือ เครื่องนี้จะตั้งอยู่ในส่วนของยุครัชกาลที่ 5 เมื่อเรามองไปในเครื่องฉายแล้วหมุน ก็จะได้ชมภาพเคลื่อนไหวแบบย้อนเวลา จากถนนหนทางในสมัยใหม่ไปยังถนนหนทางในสมัยก่อน คุณนพดลเน้นด้วยว่าจะต้องเสียงเอี๊ยด ๆ ตอนหมุน

มาต่อกันที่สิ่งที่เป็น "นามธรรม" ในพิพิธภัณฑ์ คือการพยายามสอดแทรกสิ่งที่ไม่ได้บอกออกมาอย่างชัดเจน แต่มีความหมาย ลงไปในการออกแบบ เช่น ประติมากรรมด้านหน้าอาคาร แถบรุ้งที่ทอดเข้าไปในอาคาร หรือลายดอกบัวในห้องพุทธศาสนา

เนื่องจากเป็นพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ จึงต้องมีการตีความประวัติศาสตร์ จากข้อความ มาเป็นการออกแบบ เพราะคงไปมีใครไปพิพิธภัณฑ์เพื่อยืนอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ชาติไทย การตีความนั้นก็จะมีทีมภัณฑารักษ์ (Curator) ให้คำปรึกษาแก่ทีมออกแบบ และทีมออกแบบต้องทำมันออกมาให้น่าสนใจ ตัวอย่างที่ยกมาเช่น

  • แผนที่ความเจริญของแคว้นต่าง ๆ ในยุคต่าง ๆ ทำโดยใช้กลุ่มดวงไฟ แทนแคว้น และไฟจะสว่าง - มืดตามความเจริญของแต่ละยุค เช่น บางยุคที่อยุธยาจะสว่างมาก
  • การ์ตูนเล่าเรื่องกำเนิดสุวรรณภูมิ เนื่องจากเรื่องเล่าต้นกำเนิดดินแดนสุวรรณภูมินั้นมีหลายเรื่อง มิวเซียมสยามเลยให้ผู้ชมตัดสินเอง แล้วให้ข้อมูลทั้งหมด (มี 5 เรื่อง) ในรูปแบบของการ์ตูน ที่ผมว่าเจ๋งมาก ๆ จากตัวอย่างที่ได้ดู (เรื่องท้าวแสนปม) เป็นการ์ตูนขาวดำ ลายเส้นเท่มาก เพลงประกอบออกแจ๊ซ ๆ อีกต่างหาก คุณนพดลบอกว่าการ์ตูนนี้โดนติงมาพอสมควรว่าไม่ค่อยมีความเป็นไทยเลย (บางตอนก็ยืนฉี่กันให้ดูเลย) แต่ผมว่ามันเท่มากนะ บางทีก็ไม่เห็นจะต้องใส่พวกช่อฟ้าใบระกาอะไรเข้าไปมากมาย แต่ก็ต่างคนต่างความคิด
  • โต๊ะแสดงวัฏจักรของการสร้างเมือง เป็นโต๊ะรอสัมผัสใหญ่ ๆ ฉายแผนที่เมืองจากมุมบน เหมือนพวกเกมแนววางแผนทั้งหลาย พอเอามือไปแตะดู ก็จะได้เห็นว่าคนไหนอาชีพไหน ทำอะไรในการสร้างเมือง โคตรน่าเล่นอะครับ
  • หนังสั้นอธิบายการค้าขาย เป็นเรื่องของหนึ่งในตัวละคร 7 คนที่กล่าวถึงข้างต้น ได้กลับชาติมาเกิดเป็นพ่อค้าในสุวรรณภูมิ เนื้อเรื่องออกไปในทางตลก (มาก) ไม่ได้เคร่งขรึมจริงจังกับการใช้ภาษาท่าทาง แต่ผมดูแล้วผมจำได้แฮะว่าสมัยนั้นเขาแลกเปลี่ยนอะไรกัน

แต่อย่างไรก็ตามพิพิธภัณฑ์ก็คือพิพิธภัณฑ์ ผู้คนก็คาดหวังจะได้มาเห็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ หรือมาดู "ของ" นั่นเอง ผู้ออกแบบจึงได้จัดห้องไว้หนึ่งห้อง ที่ไม่มีเทคโนโลยีลูกเล่นอะไรเลย มีแต่ของ แบบจำลอง คำอธิบาย ให้ได้ดูได้อ่านกัน แต่แอบมีความน่าสนใจที่มีการทำสมุดข่อยเล่มเบ้อเริ่มให้พลิกอ่านแทนกระดานภาพ

คุณนพดลเล่าว่าในตอนแรกของการออกแบบนั้น สิ่งที่ต้องตัดสินใจก็คือ จะทำให้ทั้งทุกห้อง มีลักษณะไปในทางเดียวกัน หรือว่าจะแตกต่างกันไปเลยดี หากทุกห้องมีความคล้ายคลึงกัน มันก็จะดูดีในเชิงการออกแบบ แต่มันจะทำให้น่าเบื่อ แต่หากให้ทุกห้องนั้นไม่เหมือนกันเลย ก็จะได้ประโยชน์ที่จะสามารถตกแต่งให้เข้ากับเนื้อหาได้เต็มที่ และผู้คนที่มีความชอบแตกต่างกัน ก็จะรู้สึกประทับใจในคนละห้องกัน

มีอีกสิ่งที่พิพิธภัณฑ์ (ที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กด้วย) ขาดไม่ได้นั่นคือเกม บริเวณช่วงท้ายของการเดินจะมีเกมต่าง ๆ ให้เด็กเล่น เช่น เกมแลกเปลี่ยนสินค้า (สมมติตนเองเป็นพ่อค้า) เกมวางแผนการรบ ที่เจ๋งคือเกมยิงข้าศึก (ในจอ) ด้วยปืนใหญ่กระบอกเบ้อเร่อ (ขนาดเท่าของจริง) แต่ก็มีคนติงมาว่า มันจะปลูกฝังเด็กไหมเนี่ย ว่าต้องยิงพม่า ตรงนี้คุณนพดลก็หัวเราะแหะแหะ บอกว่าทางมิวเซียมสยามเขาก็คิดจะปรับปรุงกันอยู่

แล้วผู้ใหญ่ล่ะ มาที่มิวเซียมสยามแล้วจะเจออะไรที่โดนใจคนรุ่นตัวเองบ้างไหม คำตอบคือมีครับ เป็นห้องที่ตกแต่งเหมือนยุคที่ตายายเรายังเป็นหนุ่มสาว ช่วงสงครามเวียดนาม เอลวิส เพรสลี่ย์ อินทรีแดง อะไรทำนองนั้น มีห้องที่เหมือนดิสโก้เธคสมัยก่อน เขาบอกว่ารุ่นเดอะนี่มานั่งแช่กันตรงนี้นานเชียว

นอกจากได้เดินชมพิพิธภัณฑ์แล้ว ผู้ชมก็ยังสามารถทิ้งอะไรไว้ที่มิวเซียมสยามแห่งนี้ด้วย โดยมีห้องหนึ่งที่มีกล้องวิดีโอและเสื้อผ้าสมัยก่อนให้เปลี่ยน และให้สมมติตนเองเป็นพิธีกร อัดวิดีทัศน์เก็บไว้ในฐานข้อมูลได้ หรือห้องที่ผู้ชมจะได้เขียน มีจอสัมผัสอยู่ตรงกลาง ให้เขียนว่า ถ้าได้เป็นนายกรัฐมนตรีจะทำอะไรบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าก็ต้องมีทั้งความเห็นที่จริงจังและเกรียน ๆ แต่ที่เท่มากคือ ความคิดเห็นที่เขียนกันไปนั้นจะถูกเก็บไว้ แล้วฉายบนฉากที่ผนัง ถ้ามีคนไปยืนใกล้ ๆ ผนัง จะมีระบบตรวจจับเงา แล้วจะเอาความเห็นของใครไม่รู้ มาเป็นฟองความคิดบนหัว ให้ได้ถ่ายรูปเล่น

จบส่วนของพิพิธภัณฑ์ มาถึงการสัมภาษณ์ผู้ชม ทุกคนก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า "สนุก" และ "จะมาอีก" คุณนพดลบอกว่าในวันเสาร์อาทิตย์ มีผู้เยี่ยมชมถึงวันละสองพันคน ซึ่งถือว่าเยอะมากสำหรับพิพิธภัณฑ์ขนาดนี้ (เพื่อนผมที่เพิ่งไปมาก็บอกว่าบางอย่างมันก็เริ่มจะชำรุดหรือหายบ้างแล้วแฮะ)

สรุปสั้น ๆ จากการนำเสนอของคุณนพดลก็คือ นิทรรศการที่ดี ต้องเป็นที่ ๆ ผู้เยี่ยมชมสามารถมีส่วนร่วม ทั้งด้านความรู้สึก อารมณ์ และการได้สัมผัสของจริง - The Platform that people can engage sensually, emotionally, and physically

สำหรับความเห็นของผม ในฐานะที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับงานออกแบบเลยก็คือคุ้มมากครับ ฟังแล้วสิ่งแรกที่คิดก็คือกูต้องไปมิวเซียมสยามแล้วว่ะ นี่ก็เชยมากแล้วนะเนี่ย เพื่อน ๆ เคยไปกันหมด ได้เห็นความพยายามสร้างสรรค์แหล่งความรู้ของคนไทยอย่างนี้ก็ประทับใจครับ ขอบคุณ TCDC ที่จัดกิจกรรมบรรยาย แล้วก็ขอบคุณคุณนพดลที่มาพูดมากครับ

ปล. เรื่องหาเพื่อนไปมิวเซียมสยามผมจริงจังนะ ฮ่า ๆ ทิ้งคอมเมนต์ไว้เลย ปลล. ผมเพิ่งเจอตะกี้ว่าทาง TCDCConnect ได้ทำ Live Blogging ไว้ด้วย ที่นี่ ครับ ลองอ่านดูจะได้รายละเอียดเพิ่มเติม