ลูกมือ

คุณคิดว่าเวลาสี่ปีสำหรับปริญญาตรีนี่มันเป็นอย่างไร หมายถึงว่า น้อยไป หรือมากไป ส่วนมากคงคิดว่าสี่ปีนี่นาน คงอยากรีบจบออกไปทำงานหรือเรียนต่อกันแย่แล้ว

สืบเนื่องจากผมเพิ่งผ่านการสอบกลางภาคไปหมาด ๆ และช่วงสอบก็โอดครวญเหมือนคนส่วนมากว่า อ่านไม่ทัน เวลาไม่พอ อะไรก็ว่ากันไป เมื่อพยายามไม่คิดเข้าข้างตัวเอง ที่เหลือก็เป็นความผิดของผมเองที่ไม่ตั้งใจเรียนตั้งแต่ในคาบ เมื่อคิดต่อไปว่าแล้วในคาบผมทำอะไร ก็พบว่ามัวแต่หลับ หรือไม่ก็ทำการบ้าน แล้วเวลาตอนกลางคืนหายไปไหนหมด ส่วนมากก็เอาไปนั่งอ่านบล็อก อ่านข่าวสาร เล่นทวิตเต้อร์ แล้วก็ทำงาน

สรุปก็คือ ทำไมมีเวลาไม่พอ

ถ้าตอบตามความคิดคนทั่วไปก็คงเป็นเพราะว่าผมจัดสรรเวลาได้ห่วยเอง จึงต้องเจอปัญหาลูกโซ่ คือต้องใช้เวลาที่ควรจะทำอะไรสักอย่าง ในการทำอะไรอีกสักอย่างที่ผ่านมาแล้ว อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดสุดยอด คือต้องจัดการทุกอย่างเกี่ยวกับการเรียนให้เสร็จในช่วงก่อนสอบ ยิ่งในบางมหาวิทยาลัยจะชอบส่งเสริมนักว่าให้ทำกิจกรรมนอกเวลาเรียน แค่เรียนนี่ก็จะแย่แล้ว!

แต่ด้วยความที่ไม่อยากโทษตัวเอง ผมขอหันไปโทษสังคมแทนก็แล้วกัน (ว่าเข้านั่น!) ประเด็นก็คือ ทำไมคนเราต้องรีบเรียนให้จบมหาวิทยาลัยภายในสี่ปีด้วย ฟังดูเป็นคำถามงี่เง่า รีบเรียนให้จบก็เพื่อจะได้รีบไปทำงานหรือเรียนต่อใช่ไหมล่ะ แต่ผมก็ยังสงสัยว่า ทำไมเราจึงจะเริ่มทำงานหลังจากจบการศึกษาขั้นต่ำ (มัธยม) แล้วค่อยมาเรียนมหาวิทยาลัยหรือไม่เรียนแม่มเลยไม่ได้วะ ถ้ายึดตามสังคมสมัยนี้ แน่นอนว่าไม่มีปริญญาบัตรก็ยากนักที่จะได้งานทำ ซึ่งก็ย้อนถามได้ว่า เฮ้ย จะทำงานอะไรสักอย่างที่จะพอมีเงินเลี้ยงตัวเองและไปเที่ยวดูหนังได้บ้างเนี่ย มันไม่ต้องจบปริญญาตรีก็ได้มั้ง!

ความคิดเห็นเกรียน ๆ ของผมก็คือ การเรียนปริญญาตรีเนี่ย ผมมองว่ามันน่าจะเป็นการเรียนเพื่อไปเรียนต่อ เรียนเพื่อไปพัฒนางานเชิงวิชาการ หมายความว่า มันมีวิชามากเกินไปสำหรับบางคนที่ต้องการจะเรียนเพียงเพื่อให้มีความรู้ไปทำงาน ที่จริงแนวทางการศึกษาแบบที่เรียนเพื่อไปทำงานมันก็มี ที่เรียกกันว่าสายอาชีพ แต่ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าทำไมคน (อย่างน้อยก็ในกลุ่มเพื่อนที่ผมรู้จักล่ะ) ถึงไม่นิยมไปเรียนสายอาชีพกัน ซึ่งจริง ๆ แล้วมันก็ดูเป็นระบบที่เข้าท่า คือ เรียนเพื่อไปทำงาน ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่มหาวิทยาลัยกลายเป็นแหล่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อตลาดแรงงาน (โอว ยาว ๆ เท่ดี)

ผมนึกภาพคนจบมัธยมมาตอนอายุสิบแปด เรียนสายอาชีพเพื่อเป็นนักพัฒนาซอฟท์แวร์อยู่สักปีครึ่งหรือสองปี แล้วก็สอบเอาใบประกอบวิชาชีพหรือวัดมาตรฐานอะไรก็ว่าไป (หรือไม่ก็ไปสอบแม่มเลยหลังจบมัธยม ถ้าเซียนมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นน่ะนะ) แล้วก็ไปสมัครงาน ทำงานสัปดาห์ละสี่สิบชั่วโมง แล้วก็เอาเวลาอีกสัปดาห์ละสิบห้าชั่วโมงไปเรียนเพิ่ม ยกระดับทางสายอาชีพของตัวเองเพื่อจะได้เลื่อนตำแหน่ง หรือจะไปเรียนมหาวิทยาลัยต่อ อะไรก็ว่าไป ไอ้หมอนี่ก็น่าจะดูแลตัวเองได้ตั้งแต่อายุยี่สิบ (แต่มันก็ยังอุดมคติมาก ๆ น่ะนะ ไม่รู้มันจะหางานทำได้ไหม) แล้วก็ไม่ต้องมาเรียนเยอะแยะ สอบครั้งนึกห้าหกวิชาอย่างนี้

เออ แต่ถ้ามันจะเป็นอย่างนั้นได้ ไอ้หมอนี่ก็ต้องรู้ว่าตัวเองอยากทำงานอะไรตั้งแต่อายุสักสิบหกสิบเจ็ดใช่ไหม ผมไปได้ความคิดมาจากหนังสือ Hackers and Painters มาอย่างหนึ่ง นั่นคือระบบ "ลูกมือ" (ฝรั่งใช้คำว่า apprenticeship มั้ง คนเขียนยกตัวอย่างยุคโรมัน) คือสนับสนุนให้วัยสะรุ่นช่วงสิบหกสิบเจ็ดเนี่ย ไปลองทำงานต่าง ๆ จะได้เห็นอนาคตตัวเอง จะได้ตัดสินใจได้ว่าหลังจบการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้วเนี่ย จะไปสายไหน จะเรียนต่อนิดหนึ่งแล้วไปเป็นพนักงาน หรือเปิดกิจการของตัวเองเลย หรือว่าจะเรียนมหาวิทยาลัยแล้วก็ไปเป็นอาจารย์ ข้าราชการ นักวิจัย อะไรทำนองนั้น ซึ่งก็ต้องอาศัยความร่วมมือจากบริษัทต่าง ๆ ผู้ประกอบการ หรือศูนย์วิจัย ให้ใจดีรับไอ้เด็กพวกนี้เข้าไปลองงานหน่อย

พอมาเทียบกับประเทศไทยแล้ว เฮ้ย อายุสิบแปดแล้วมันยังต้องไปเรียนพิเศษอยู่เลย แล้วไหนจะเรื่องครอบครัว อันนี้ผมก็ว่าแปลก คือเราถูกสอนมาให้แบ่งเบาภาระพ่อแม่ด้วยการประหยัด อดออม บลาบลาบลา แต่ไม่ใช่ด้วยการดิ้นรนหาเลี้ยงชีพด้วยตัวเอง พูดง่าย ๆ คือ ให้พ่อแม่เลี้ยงจนจบมหาวิทยาลัยนั่นล่ะ (อย่างน้อยก็เท่าที่ผมเห็นในกลุ่มเพื่อนน่ะนะ) แล้วก็ไม่แน่ใจเรื่องค่านิยมในการเรียนมหาวิทยาลัยเหมือนกันว่าทำไมมันคล้าย ๆ จะเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับการมีงานทำไปเสียแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะมหาวิทยาลัยเป็นที่นิยม สายอาชีพจึงดูด้อยลงไป หรือเพราะว่าสายอาชีพด้อยลงไปก่อน มหาวิทยาลัยจึงกลายเป็นที่นิยมขึ้นมาน่ะนะ

ไป ๆ มา ๆ รู้สึกว่าจะนอกเรื่อง ขอวกกลับมาที่ในมหาวิทยาลัย ก็คล้าย ๆ กับที่เอ่ยไปแล้วข้างบนว่า การจะมีงานทำ (โดยส่วนมาก) มันไม่น่าจะต้องถึงกับจบปริญญาตรีเลยนะ คือถ้าได้เรียนมหาวิทยาลัยไป ทำงานไปด้วย แบบเรียนแค่สัปดาห์ละยี่สิบชั่วโมง ทำงานอีกยี่สิบชั่วโมง คงสนุกดี เรียนกันสักห้าหกปีก็ไม่เสียหาย

คือผมเห็นคนบ่น ๆ กันว่าวัยรุ่นไร้สาระ วัน ๆ เอาแต่กดไฮไฟ้ฟ์ (ผมก็ฟังเขามาอีกต่อหนึ่งน่ะนะ) เนี่ย ถ้ามันต้องหาเงินเองมันก็คงไม่มานั่งเม้นท์กันหรอก ถ้าอยากเห็นประชากรรุ่นใหม่มีวุฒิภาวะมากกว่านี้ก็ช่วยกันสนับสนุนให้พวกเขาได้มีโอกาสรับผิดชอบชีวิตตัวเองด้วยการทำงานนะครับ