คลิกอ่านตอนที่แล้ว
[ตรงนี้กรุณานึกภาพเป็นสีขาวเทาดำ]
ผมได้รับการติดต่อจากเอ็นจีโออเมริกันนี้เมื่อต้นเดือนมิถุนายน ซึ่งก็บอกให้กรอกเอกสารเกี่ยวกับการท่องเที่ยว แล้วส่งกลับไปพร้อมประวัติส่วนตัวอย่างย่อ และสำเนาหนังสือเดินทาง
ผมส่งเอกสารทั้งหมดกลับไปในวันที่ 11 มิถุนายน แล้วก็รอการตอบกลับ 7 วันผ่านไปก็ยังคงไม่มีการตอบอะไรกลับมาจากทางโน้น ไม่มีตั๋วเครื่องบิน ไม่มีตารางเวลา ไม่มีสถานที่ ด้วยความเกรงใจ ผมจึงส่งอีเมล์ถามอ้อม ๆ ไปว่า เห็นก่อนหน้านี้พูดว่าจะกินมื้อเย็นด้วยกันในวันที่ 22 มิถุนายน ไม่ทราบว่าจะไปกินกันที่ไหน ผมจะได้วางแผนการเดินทาง
อีเมล์ตอบกลับมามีใจความแค่ว่า ก็เจอกันที่ล็อบบี้เย็นวันนั้น แล้วก็เดินไปกินกันใกล้ ๆ โรงแรมนั่นล่ะ
แล้วมันโรงแรมไหนกันล่ะเหวย ผมค้นอีเมล์เก่า ๆ ดู ก็ไม่พบว่าเขาเคยเอ่ยถึงโรงแรมไหน ดูในกล่องจดหมายขยะก็ไม่มี
เลยส่งอีเมล์ถามกลับไปอีกว่า เอ่อ แล้วมันโรงแรมไหนกันล่ะครับ
เขาก็ตอบกลับมาว่า อ้อ พักที่โรงแรม Habour Plaza นะ แล้วก็บอกการเดินทางมาเสร็จสรรพ
แต่ก็ยังไม่มีรายละเอียดเรื่องตั๋ว
ดีที่พี่จิโทรไปถามที่สายการบิน พบว่าได้มีการจองตั๋วไว้ให้แล้ว ก็โล่งอกไปหน่อย
พบว่าทางโน้นส่งรายละเอียดเรื่องตั๋วมาให้ตอนตีหนึ่งห้าสิบ ตามเวลาประเทศไทย นั่นคือราวเก้าชั่วโมงก่อนเวลาเครื่องขึ้น
ตัดกลับมาที่หน้าโรงแรม [ภาพสี]
พวกเราทีมชาติไทยก็เดินเข้าไปติดต่อพนักงาน แอบหวั่นใจว่า ถ้ามันเกิดปัญหา เช่น ทางโน้นยังไม่ได้ติดต่อ หรือยังไม่มา จะทำยังไง พนักงานรับหนังสือเดินทางไปดู ค้นข้อมูล แล้วเงยหน้าขึ้นมาตอบว่า
"เอ่อ ชื่อพวกคุณอยู่ในรายการนะครับ แต่ว่าเริ่มพักวันพรุ่งนี้"
เวร
ก็มองหน้ากัน ประมาณว่า กูนึกแล้ว
"แต่ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวทางเราเปิดห้องให้ก่อน เข้าใจว่าเป็นปัญหาเรื่องความแตกต่างของเวลาระหว่างทางนี้กับทางโน้น (สหรัฐฯ) เพราะก่อนหน้านี้ก็มีคนในกลุ่มคุณ เป็นชาวพม่า เจอปัญหานี้เหมือนกัน"
ผมถามว่า ได้เจอผู้ประสานงาน (จากสหรัฐฯ) หรือยัง
"ทั้งเรา (โรงแรม) และบริษัททัวร์ ก็กำลังพยายามติดต่อเขาอยู่ครับ แต่ยังติดต่อไม่ได้เลย ในห้องก็ไม่อยู่"
เยี่ยม!
ไม่เป็นไร ก็เอาของขึ้นไปเก็บบนห้อง แล้วลงมาที่ล็อบบี้ เพื่อจะไปเดินชมเมือง และ (ด้วยความเศร้า) หาข้าวกิน
ก่อนไปก็เกิดไอเดีย ชวนเพื่อนชาวพม่าไปด้วยกันดีกว่า ว่าแล้วก็ขอเบอร์ห้องจากพนักงาน (พนักงานจำชื่อกับเบอร์ห้องของเพื่อนชาวพม่าได้โดยไม่ต้องดูเอกสาร เขาบอก "เป็นกรณีพิเศษ ผมเลยจำได้แม่น") แล้วก็โทรขึ้นไป เขาบอกว่าอีกสิบห้านาทีเจอกัน
เมื่อเพื่อนชาวพม่าสองคนลงมา ก็แนะนำตัวกัน ชื่อ แซม กับ โซ พบว่านั่งเที่ยวบินเดียวกันมาจากกรุงเทพ แต่เขามาถึงก่อนเพราะผมติดด่านไข้หวัดนั่นเอง
ก็คุยกันว่าเอาไงดี เพื่อนชาวพม่าของเราก็ไม่ได้ทราบข้อมูลอะไรมากไปกว่าเรา และได้ตั๋วเครื่องบินในเวลาไล่เลี่ยกัน คือ ในคืนก่อนหน้านี้เอง
ก็ตกลงกันว่า งั้นไปเดินเล่นสักชั่วโมงค่อยกลับมา ถ้าคนจัดงานยังไม่มาค่อยไปหากินกันเอง ตอนคุยกันเรื่องเวลา ผมควักโนเกีย 3110c ออกมาดูเวลา ส่วนแซม เพื่อนชาวพม่าของผม ควักไอโฟนออกมา
ก็ออกไปเดินชมอ่าว ชมเมือง แซมบอกว่า ซื้อซิมการ์ดมาดีกว่า ใส่มือถือไว้แล้วไปบอกเบอร์กับพนักงานโรมแรม เมื่อคนจัดงานมาถึงจะได้โทรหาพวกเราได้ แล้วก็เข้าไปซื้อในเซเว่นอีเลเว่น
เป็นโทรศัพท์ของผม ที่ได้ใส่ซิมการ์ดอันนั้น เพราะแซมบอกว่า (พลางควักไอโฟนขึ้นมากระดิก) "ของผมมันถอดซิมลำบากน่ะ"
เมื่อกลับไปทิ้งเบอร์ไว้ที่โรงแรมเสร็จ ก็ออกมาหาข้าวกิน กำลังนั่งกินอยู่ (ตอนนั้นสองทุ่มพอดี) ก็มีคนโทรเข้ามา
ใช่แล้ว คนจัดงานกลับมาแล้ว และยังมีเพื่อนชาวพม่าอีกสามคนรออยู่ที่โรงแรม
เมื่อกินเสร็จ ก็เดินกลับไป แนะนำตัวกัน นัดหมายถึงวันรุ่งขึ้น (ยังไม่ได้กำหนดการ) แล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน