travel

ชีวิตคือการเดินทาง

การเดินทางในรอบสองเดือนที่ผ่านมา

  • ไปอยู่เชียงใหม่ 1 วัน
  • กลับมาอยู่กรุงเทพ 12 วัน
  • ไปอยู่เชียงใหม่ 9 วัน
  • กลับมาอยู่กรุงเทพ 1 วัน (นับจริง ๆ ประมาณ 21 ชั่วโมง)
  • ไปอยู่เชียงใหม่ 6 วัน
  • กลับมาอยู่กรุงเทพ 3 วัน
  • ไปอยู่เชียงใหม่ 7 วัน
  • กลับมาอยู่กรุงเทพ 1 วัน
  • ไปอยู่พัทยา 3 วัน
  • แวะกรุงเทพ 6 ชั่วโมงก่อนไปอยู่เชียงใหม่ 14 วัน

สิริรวมระยะทางไปมาประมาณ 7300 กิโลเมตร

Wong's Place

เมื่อตีสองนิด ๆ

"Thank you. Thank you. Thank you for breaking my glass." เสียงเจ้าของร้านดังขึ้นที่ลำโพงหลังจากมีคนทำแก้วแตก หันไปมองก็เห็นเขาโบกมือทำท่าล้อเล่นกับคนที่ทำแก้วแตก พนักงานก็ถือไม้กวาดกับที่ตักผงเบียดคนมหาศาลในห้องแคบ ๆ ยาว ๆ มาเก็บกวาด

ราวสองชั่วโมงก่อนหน้า ผมเดินเข้ามาในร้านอย่างงง ๆ ได้ยินว่าร้านแคบ แต่ไม่นึกว่าจะแคบขนาดนี้ ฝาผนังเต็มไปด้วยรูปถ่าย ใบปิด โคมไฟแบบจีนอยู่เหนือหัว ดีที่ยังไม่ค่อยมีคน

เดินไปสุดทางในร้านที่เคาน์เต้อร์ ถามพนักงานว่ามีเบียร์อะไรบ้าง เธอชี้ให้มองด้านหลัง หันกลับมาเจอผนังมีรูปถ่ายแปะทั่วอีกแล้ว "ขวามือ พี่" อ้อ อยู่นี่เอง เบียร์หลากยี่ห้อเต็มตู้เย็น อยากได้ขวดไหนก็หยิบออกมาจ่ายตัง ราคาเท่ากันหมด

เดินกลับมาหาโต๊ะ โอ้ วงดนตรีกำลังจะเล่นพอดี น่าจะเป็นคนญี่ปุ่นทั้งหมด นักร้องหนึ่งสาว กีต้าร์สอง เบส กลอง ออกไปทางป๊อปร็อคเก่า ๆ มั้ง ไม่ค่อยรู้จักแนวเพลง ที่แน่ ๆ คือเก่าจริง ที่ฟังรู้จักแค่ Cyndi Lauper กับ 20th Century Boys

ถึงตอนนี้คนก็โผล่มาจากไหนไม่รู้เยอะมาก เยอะแบบเยอะมากจริง ๆ ส่วนมากเป็นฝรั่ง ก็เฮฮากันไป ตลกดีที่มีเจ้าของคอยปราม ๆ ลูกค้าอยู่เรื่อย ๆ ผ่านไมโครโฟน หลังดนตรีสดก็มีเปิด MV เก่า ๆ (คุณภาพระดับ VHS) นับปีไม่ถูกเลยทีเดียว แบบ ไมเคิ่ล แจ็กสันสมัยยังผิวเข้ม Oasis สมัยอัลบั้มสอง N'Sync หรือ Matchbox 20 อัลบั้มแรก คงมีเก่ากว่านี้แต่ไม่รู้จัก เพลง Don't Look Back in Anger ขึ้นมานี่อย่างกับเพลงชาติ

สรุปแล้วโคตรแจ่ม เปิด 4 ทุ่มทุกวันยกเว้นวันจันทร์ วงเล่นวันเสาร์

พิกัดแบบคนไม่มีรถก็คือ สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินลุมพินี ทางออกซอยงามดูพลี ขึ้นบนดินมาเดินมาเข้าซอยงามดูพลี มองไปข้างหน้าไกล ๆ จะเห็นป้ายโรงแรม Ibis ก็ไปให้ถึงโรงแรม แล้วเลี้ยวซ้าย เดินไปนิดนึงน่าจะเจอป้ายร้านอยู่ซ้ายมือ

Rain Dogs

ผมเพิ่งเดินออกมาจากร้าน Rain Dogs เมื่อตะกี้ ในหัวยังเต็มไปด้วยบทสนทนาหลากหลาย ตั้งแต่เรื่องภาษา ละคร ภาคเหนือ เชื้อชาติ เลยเถิดไปถึงเรื่องรสนิยมทางเพศ ผี และกรรม!

ร้าน Rain Dogs ถูกนิยามไว้โดยนิตยสาร BK ว่าเป็น "ร้านสไตล์โบฮีเมี่ยน ตกแต่งอย่างอบอุ่น เปิดเพลงอินดี้ และไม่มีพวกแบกเป้จิตตกแบบที่ข้าวสาร" ผมก็เพิ่งมาเจอคำอธิบายนี้เมื่อกี้นี่แหละ ว่าแต่ไอ้ โบฮีเมี่ยน นี่มันเป็นยังไงฟะ (ส่วน "จิตตก" นั้นผมแปลจากต้นฉบับว่า downers ไม่รู้แปลถูกหรือเปล่า)

ถ้าให้ผมนิยาม ก็เป็นร้านที่บรรยากาศดีมาก สิ่งที่ทำให้มันน่าสนใจก็คือ มันตั้งอยู่ในที่ที่คงไม่มีใครคิดว่าจะมีมันตั้งอยู่ กล่าวคือ อยู่สุดซอยที่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินคลองเตยไปไม่มาก คือโผล่มาจากสถานี ก็เดินมุ่งไปหาทางด่วน ข้ามแยกไป เลี้ยวซ้าย เดินไปอย่างมีศรัทธา (เพราะบรรยากาศแม่งไม่ให้กับการมีร้านพรรค์นี้เลย มีแต่บ้านคนธรรมดา) ก็จะเจอร้านนี้ ตั้งอยู่ใต้ทางด่วน

ที่ถ่อมาถึงนี่ ก็เพราะได้รับคำชวนทาง facebook ว่าจะมีการฉายหนังเรื่อง Examined Life (ใช่แล้ว อ้างอิงจากคำกล่าวของโสเครตีส ที่ว่า The unexamined life is not worth living.) เป็นการรวมบทสัมภาษณ์นักปรัชญาอเมริกันร่วมสมัยหลายคน เกี่ยวกับเรื่องกว้าง ๆ คือ การใช้ชีวิต ซึ่งแต่ละคนก็พูดไปตามประเด็นที่ตนเองสนใจ ลองดูตัวอย่างได้

หลังจากหนังจบก็นั่งฟังเพลงคุยอะไรไปเรื่อยเปื่อย ด้วยความที่กลับหอไม่ได้ (ฮา) คือหอปิดเที่ยงคืน แล้วผมแม่งกลับเกินเวลาบ่อยไปหน่อย เขาบอกนิ่ม ๆ ว่า มีครั้งหน้าอีกก็เชิญออกไปได้เลยนะ (นิ่มตรงไหนวะ) ก็เลยนั่งไปเรื่อย ๆ ออกมาตอนตีสามกว่า ๆ มาลงเอยที่ Bug & Bee ร้านสุดฮิตที่สีลม

ตอนนี้กำลังรอฟ้าสว่าง และ BTS วิ่ง

พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก

ขอแนะนำสถานที่น่าสนใจในกรุงเทพมหานครอีกแห่งหนึ่ง (ใช้คำว่า "อีก" ทำให้ฟังดูเหมือนเคยแนะนำไปเยอะแล้ว) นั่นคือ "พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก" หรือชื่อตามป้ายบอกทางว่า "Bangkokian Museum" หรือชื่อบนป้ายหน้าพิพิธภัณฑ์เองว่า "พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร เขตบางรัก"

From bangkokian museum

ใช่แล้ว มันตั้งอยู่ในเขตบางรัก ที่ตั้งแบบเจาะจงเข้าไปอีกก็คือ ในซอยเจริญกรุง 43 ซึ่งอยู่ตรงข้ามสำนักงานไปรษณีย์กลาง บางรัก หรือจะให้เจาะจงมากไปกว่านั้นก็คือ ผมนั่งรถเมล์สาย 75 มาจากตรงข้ามสถานีรถไฟ (และรถไฟใต้ดิน) หัวลำโพง นั่งไปตามถนนมหาพฤฒาราม ผ่านโรงเรียนสตรีมหาพฤฒาราม แล้วถามคนขับว่า จะไปไปรษณีย์กลาง บางรัก คนขับก็จอดให้ก่อนที่จะถึงสี่แยกไฟแดง แล้วให้ผมเดินต่อไปเองประมาณห้าร้อยเมตร เอาเข้าจริงมันคงมีวิธีเดินทางที่ฉลาดกว่านั้น (เช่น มาจากทางสถานีรถไฟฟ้าสะพานตากสิน ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามาอย่างไรเหมือนกัน) ถ้าดูจากในเว็บ พบว่ารถเมล์จากหัวลำโพงที่ผ่านคือสาย 1 35 และ 75 แล้วก็พยายามไปเองก็แล้วกัน คือไปถึงไปรษณีย์กลาง บางรัก ให้ได้ แล้วพิพิธภัณฑ์จะอยู่ในซอยตรงข้าม

ต้องขยายความเพิ่ม คือตามความรู้สึกผม คนที่จะไปพิพิธภัณฑ์ต้องเดินเข้าไปในซอยเจริญกรุง 43 อย่างมีความหวัง หรืออย่างมีความมั่นใจ คือมันมีป้ายที่ปากซอยว่าไอ้แบงขอกเคี่ยนมิวเซี่ยมเนี่ยอยู่ลึกเข้าไปสองร้อยกว่าเมตร ผมเดินเข้าไปสักพักแล้วก็ยังไม่เห็นสัญญาณใด ๆ ที่บ่งบอกว่ามันมีพิพิธภัณฑ์อยู่ เดินมาเป็นระยะทางเท่าไรก็เสือกไม่ได้นับ แต่อย่ากลัว ขอให้เดินต่อไป ผ่านบริเวณใต้ทางยกระดับแล้วดูทางขวามือ ถ้าเจอรั้วที่มีต้นไม้ขึ้นเขียว ๆ ล่ะก็ ใช่เลย (เอาตามประสบการณ์ คือผมถามแม่ค้าขายข้าวที่อยู่ระหว่างทาง แล้วเธอบอกว่า "เดินเข้าไปอีก ดูเขียว ๆ ไว้" ตอนแรกก็งงว่าเขียวอะไรวะ)

พิพิธภัณฑ์นี้จริง ๆ แล้วเป็นบ้านของรองศาสตราจารย์วราพร สุรวดี รู้สึกว่าได้กรุงเทพมหานครมาช่วยจัดการตบแต่งให้ดูเป็นพิพิธภัณฑ์ มีพวกข้าวของเครื่องใช้จากรุ่นยายของยาย (คือผมกะเอาว่าเจ้าของบ้านน่าจะเป็นรุ่นยายผมได้ แล้วท่านก็เล่าให้ฟังว่าของพวกนี้ก็ตกทอดมาจากแม่จากยาย) บรรยากาศในบริเวณพิพิธภัณฑ์นั้นร่มรื่นมาก ของที่จัดแสดงไว้ก็น่าสนใจ ว่าง ๆ ก็ลองแวะมาดูกันนะ

ดูรูปด้านในเลยจ้ะ

ภาพจากฮ่องกง

เรื่องจากฮ่องกงมันชักจะเยอะไปแล้ว ผมบ้าเห่อมากเพราะมันเป็นครั้งแรกที่ได้ไปต่างประเทศ เอารูปมาแปะ

ถูกกักตัวตรวจหวัด

From hong kong

นั่งรถเมล์จากสนามบินไปโรงแรม

From hong kong

โรงแรม

From hong kong

วิวจากห้อง

From hong kong

รถไฟใต้ดิน

From hong kong

โผล่ขึ้นมาที่ม่งก๊ก

From hong kong

ห้ามต่อราคา!

From hong kong

ฮ่องกงฟุต (ฟีต)

From hong kong

หลง ถามทาง

From hong kong

ตู้โฆษณาลิโล่แอ่นด์สทิทช์แถว ๆ จิมซาโจ่ย (มีกล้องซ่อนอยู่ แล้วโปรแกรมจะเอาหูมาเติมให้คนในวิดีโอ ป้าฝรั่งข้างหลังชอบใจมาก)

From hong kong

กินแถว ๆ ถนนเท็มเพิ่ล

From hong kong

ฝั่งฮ่องกง จากแอฟนู่ว ออฟ สตาร์สฺ

From hong kong

นั่งเรือข้ามไปฝั่งเกาะฮ่องกงมันซะเลย!

From hong kong

เกาะบันไดเลื่อนขึ้นเขา

From hong kong

วัดชื่อเมามัน หรือมันโม หรือโมมัน อะไรสักอย่าง

From hong kong

ป้ายโฆษณาในสถานีรถไฟใต้ดิน

From hong kong

รอเครื่องบินกลับราชอาณาจักร

From hong kong

ดูเพิ่มเติมได้ในอัลบั้ม

ยี่สิบเอ็ดปีในฮ่องกง

ต่อจากตอนที่แล้ว ตื่นเช้าวันที่ยี่สิบสามก็ลงมากินข้าว กลับขึ้นไปอาบน้ำ แล้วก็ลงมาที่ห้องอบรม

พบว่ามีคนมาเพิ่ม พบว่ารวมทั้งหมดมาจาก 7 เชื้อชาติด้วยกัน ได้แก่ ผมและพี่จิ จากทีมชาติไทย แซม โซ ทิน นี และโซ (อีกคน) ทีมชาติพม่า แทน โฮจิ และแอนเจลิน่า ทีมชาติเวียดนาม (มีแต่ประเทศที่ประชาธิปไตยเจริญแล้วทั้งนั้น) ที่กล่าวมาคือผู้รับการอบรม วิทยากรมีสองคนคือ บ็อบบี้ จากฟิลิปปินส์ และ ริค จากสหรัฐฯ (แต่เป็นคนสเปน) และคนจัดงานคือ ลินด์ซี่ จากสหรัฐฯ และแคโรไลน์ จากสหรัฐฯ (แต่เป็นคนเดนมาร์ก)

ก็นั่งอบรมไปเรื่อย ๆ เป็นเรื่องโปรแกรม หลักการต่าง ๆ พักเที่ยง แล้วก็ขึ้นมาอบรมต่อจนถึงราวหกโมงเย็น ก็ออกไปกินอาหารจีนกัน

ที่โต๊ะอาหาร เฮฮามาก ประเทศแถบ ๆ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มันก็มีความหลากหลายมากอยู่แล้ว แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันอย่างสนุกสนาน เช่น การไขว้นิ้ว ในเวียดนามหมายถึงเซ็กซ์ ในพม่าหมายถึงเพื่อนสนิท ในชาติตะวันตกหมายถึงขอให้โชคดี เรื่องอาหาร เช่น "ซุปนัมเบ้อร์ไฟ้ฟ์" ในฟิลิปปินส์ คือซุป "ไอ้นั่น" ของวัว หรือทุเรียน ที่ครึ่งโต๊ะบอกว่าเหม็นมาก แต่อีกครึ่งโต๊ะบอกว่าหอมมาก ไปจนถึงเรื่องภาษา ที่คนฟิลิปปินส์ทางเหนือจะไม่เข้าใจภาษาท้องถิ่นของทางใต้เลย ต้องคุยภาษาอังกฤษกัน

เป็นวันเกิดที่เยี่ยมที่สุดครั้งหนึ่ง ได้ฟังเพลงอวยพรทั้งภาษาสแปนิช และเดนิช

ไปเกรียนที่ฮ่องกง (ตอนที่ 2)

คลิกอ่านตอนที่แล้ว

[ตรงนี้กรุณานึกภาพเป็นสีขาวเทาดำ]

ผมได้รับการติดต่อจากเอ็นจีโออเมริกันนี้เมื่อต้นเดือนมิถุนายน ซึ่งก็บอกให้กรอกเอกสารเกี่ยวกับการท่องเที่ยว แล้วส่งกลับไปพร้อมประวัติส่วนตัวอย่างย่อ และสำเนาหนังสือเดินทาง

ผมส่งเอกสารทั้งหมดกลับไปในวันที่ 11 มิถุนายน แล้วก็รอการตอบกลับ 7 วันผ่านไปก็ยังคงไม่มีการตอบอะไรกลับมาจากทางโน้น ไม่มีตั๋วเครื่องบิน ไม่มีตารางเวลา ไม่มีสถานที่ ด้วยความเกรงใจ ผมจึงส่งอีเมล์ถามอ้อม ๆ ไปว่า เห็นก่อนหน้านี้พูดว่าจะกินมื้อเย็นด้วยกันในวันที่ 22 มิถุนายน ไม่ทราบว่าจะไปกินกันที่ไหน ผมจะได้วางแผนการเดินทาง

อีเมล์ตอบกลับมามีใจความแค่ว่า ก็เจอกันที่ล็อบบี้เย็นวันนั้น แล้วก็เดินไปกินกันใกล้ ๆ โรงแรมนั่นล่ะ

แล้วมันโรงแรมไหนกันล่ะเหวย ผมค้นอีเมล์เก่า ๆ ดู ก็ไม่พบว่าเขาเคยเอ่ยถึงโรงแรมไหน ดูในกล่องจดหมายขยะก็ไม่มี

เลยส่งอีเมล์ถามกลับไปอีกว่า เอ่อ แล้วมันโรงแรมไหนกันล่ะครับ

เขาก็ตอบกลับมาว่า อ้อ พักที่โรงแรม Habour Plaza นะ แล้วก็บอกการเดินทางมาเสร็จสรรพ

แต่ก็ยังไม่มีรายละเอียดเรื่องตั๋ว

ดีที่พี่จิโทรไปถามที่สายการบิน พบว่าได้มีการจองตั๋วไว้ให้แล้ว ก็โล่งอกไปหน่อย

พบว่าทางโน้นส่งรายละเอียดเรื่องตั๋วมาให้ตอนตีหนึ่งห้าสิบ ตามเวลาประเทศไทย นั่นคือราวเก้าชั่วโมงก่อนเวลาเครื่องขึ้น

ตัดกลับมาที่หน้าโรงแรม [ภาพสี]

พวกเราทีมชาติไทยก็เดินเข้าไปติดต่อพนักงาน แอบหวั่นใจว่า ถ้ามันเกิดปัญหา เช่น ทางโน้นยังไม่ได้ติดต่อ หรือยังไม่มา จะทำยังไง พนักงานรับหนังสือเดินทางไปดู ค้นข้อมูล แล้วเงยหน้าขึ้นมาตอบว่า

"เอ่อ ชื่อพวกคุณอยู่ในรายการนะครับ แต่ว่าเริ่มพักวันพรุ่งนี้"

เวร

ก็มองหน้ากัน ประมาณว่า กูนึกแล้ว

"แต่ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวทางเราเปิดห้องให้ก่อน เข้าใจว่าเป็นปัญหาเรื่องความแตกต่างของเวลาระหว่างทางนี้กับทางโน้น (สหรัฐฯ) เพราะก่อนหน้านี้ก็มีคนในกลุ่มคุณ เป็นชาวพม่า เจอปัญหานี้เหมือนกัน"

ผมถามว่า ได้เจอผู้ประสานงาน (จากสหรัฐฯ) หรือยัง

"ทั้งเรา (โรงแรม) และบริษัททัวร์ ก็กำลังพยายามติดต่อเขาอยู่ครับ แต่ยังติดต่อไม่ได้เลย ในห้องก็ไม่อยู่"

เยี่ยม!

ไม่เป็นไร ก็เอาของขึ้นไปเก็บบนห้อง แล้วลงมาที่ล็อบบี้ เพื่อจะไปเดินชมเมือง และ (ด้วยความเศร้า) หาข้าวกิน

ก่อนไปก็เกิดไอเดีย ชวนเพื่อนชาวพม่าไปด้วยกันดีกว่า ว่าแล้วก็ขอเบอร์ห้องจากพนักงาน (พนักงานจำชื่อกับเบอร์ห้องของเพื่อนชาวพม่าได้โดยไม่ต้องดูเอกสาร เขาบอก "เป็นกรณีพิเศษ ผมเลยจำได้แม่น") แล้วก็โทรขึ้นไป เขาบอกว่าอีกสิบห้านาทีเจอกัน

เมื่อเพื่อนชาวพม่าสองคนลงมา ก็แนะนำตัวกัน ชื่อ แซม กับ โซ พบว่านั่งเที่ยวบินเดียวกันมาจากกรุงเทพ แต่เขามาถึงก่อนเพราะผมติดด่านไข้หวัดนั่นเอง

ก็คุยกันว่าเอาไงดี เพื่อนชาวพม่าของเราก็ไม่ได้ทราบข้อมูลอะไรมากไปกว่าเรา และได้ตั๋วเครื่องบินในเวลาไล่เลี่ยกัน คือ ในคืนก่อนหน้านี้เอง

ก็ตกลงกันว่า งั้นไปเดินเล่นสักชั่วโมงค่อยกลับมา ถ้าคนจัดงานยังไม่มาค่อยไปหากินกันเอง ตอนคุยกันเรื่องเวลา ผมควักโนเกีย 3110c ออกมาดูเวลา ส่วนแซม เพื่อนชาวพม่าของผม ควักไอโฟนออกมา

ก็ออกไปเดินชมอ่าว ชมเมือง แซมบอกว่า ซื้อซิมการ์ดมาดีกว่า ใส่มือถือไว้แล้วไปบอกเบอร์กับพนักงานโรมแรม เมื่อคนจัดงานมาถึงจะได้โทรหาพวกเราได้ แล้วก็เข้าไปซื้อในเซเว่นอีเลเว่น

เป็นโทรศัพท์ของผม ที่ได้ใส่ซิมการ์ดอันนั้น เพราะแซมบอกว่า (พลางควักไอโฟนขึ้นมากระดิก) "ของผมมันถอดซิมลำบากน่ะ"

เมื่อกลับไปทิ้งเบอร์ไว้ที่โรงแรมเสร็จ ก็ออกมาหาข้าวกิน กำลังนั่งกินอยู่ (ตอนนั้นสองทุ่มพอดี) ก็มีคนโทรเข้ามา

ใช่แล้ว คนจัดงานกลับมาแล้ว และยังมีเพื่อนชาวพม่าอีกสามคนรออยู่ที่โรงแรม

เมื่อกินเสร็จ ก็เดินกลับไป แนะนำตัวกัน นัดหมายถึงวันรุ่งขึ้น (ยังไม่ได้กำหนดการ) แล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน

ไปเกรียนที่ฮ่องกง (ตอนที่ 1)

ต้องขอบคุณพี่จิ๋วเป็นอย่างสูงที่ทำให้ผมกำลังนั่งเขียนบล็อกนี้ในห้อง 543 ที่โรงแรม Harbour Plaza บนฝั่งเกาลูน ฮ่องกง

ตอนนี้เที่ยงคืนที่นี่ หรือห้าทุ่มที่ไทย ย้อนกลับไปเมื่อ 45 ชั่วโมงก่อนหน้านี้ (ราวตีสองของวันที่ 22 มิถุนายน) ผมกำลังนั่งยัดของใส่กระเป๋าด้วยความตื่นเต้น ที่จะได้ขึ้นเครื่องบินของสายการบินคาเธ่ย์ แพซิฝิค ไปร่วมงานอบรมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับสื่อพลเมืองที่ฮ่องกง ซึ่งจัดโดยเอ็นจีโอองค์กรหนึ่งจากสหรัฐอเมริกา

ราวเก้าชั่วโมงต่อมา ผมอยู่เหนือน่านฟ้าเวียดนาม นั่งกรอกใบสำรวจสุขภาพของผู้ที่กำลังจะเดินทางเข้าฮ่องกง

เมื่อถึงสนามบิน ก็เดินเข้าไปยังด่านตรวจคนเข้าเมือง พี่จิที่มาด้วยกันยื่นใบสำรวจสุขภาพให้กับเจ้าหน้าที่ แล้วก็ผ่านเข้าไป พอถึงตาผม เจ้าหน้าที่เหลือบมองเอกสารแวบหนึ่ง แล้วหันมาถามว่า "ยู แฮฟ ดิส ซิมท้อมพ์?" ไม่ได้สงสัยอะไร ผมตอบ "อ่า... เยส" เจ้าหน้าที่ยกมือขึ้นมา "ผลีส สเตย์ เฮียร์"

เวร

ด้วยความจริงใจ ตรงช่องสำรวจอาการที่บ่งบอกถึงความเสี่ยงต่อการเป็นไข้หวัด 2009 ผมเสือกติ๊กช่อง "Runny Nose" ไป เนื่องจากเป็นคนที่น้ำมูกไหลตอนเช้าอยู่แล้ว

"ยู กอทท่า ซี เดอะ ด็อกเท่อร์"

ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าพี่จิคงจะด่าผมอยู่ในใจ

ราวกับอ่านใจได้ เจ้าหน้าที่หันไปบอกพี่จิ "โด๊นท์ วอร์รี่ จัสท์ วัน มินิท" แล้วก็พาผมลงไปชั้นล่าง ระหว่างเดินก็ยื่นหน้ากากให้สวม

นั่งรอสักพักก็ถึงคิวตัวเอง เข้าไปหาหมอ หมอเอาอุปกรณ์วัดไข้มาใส่เข้าไปในหู วัดทั้งสองข้าง ให้ดูอุณหภูมิว่าเป็น 37 องศาพลางยิ้มให้ จากนั้นก็ไปอีกด่านหนึ่ง เจอหมออีกคน ให้ตอบคำถามพวก เมื่อสัปดาห์ที่แล้วอยู่ที่ไหน สัปดาห์หน้าอยู่ที่ไหน คนใกล้ตัวมีอาการไหม ฯลฯ จากนั้นก็ให้เอกสารเกี่ยวกับคลินิกต่าง ๆ ที่สามารถเข้าไปตรวจหวัด 2009 ได้ฟรีถ้ามีอาการ แล้วหันมายิ้ม "ยู แคน คอนทินิว ยัวร์ ทริป, แฮฟ อะ ไน้ซ์ ทริป!"

ไอ้ "จัสท์ อะ มินิท" ตะกี้มันปาเข้าไปเกือบครึ่งชั่วโมง กลับขึ้นมาก็ขอโทษขอโพย แล้วก็ไปเอากระเป๋า จากนั้นก็เดินไปซื้อบัตรเงินสด Octopus ที่ใช้แทนเงินได้กับการขนส่งสาธารณะ หรือแม้แต่เซเว่นอีเลเว่น ถามเจ้าหน้าที่ว่าจะนั่งรถประจำทางสายไหนไปโรงแรมได้บ้าง เขาก็บอกมาว่าสาย E23 แล้วเขียนภาษาจีนมาให้ด้วย บอกว่าไว้ให้คนขับดู

พอขึ้นรถ แปะกระเป๋าตัง เงินถูกหักไป 18 เหรียญฮ่องกง ยื่นกระดาษบอกสถานที่ให้คนขับ คนขับดันทำหน้างง ๆ ดูไม่ค่อยสนใจ ไม่เป็นไร กูดูถนนเองก็ได้ แล้วก็ขึ้นไปนั่งชั้นสอง

พบว่าสนามบิน เช็คแลพก็อก (อ่านงี้หรือเปล่าหว่า) มันกว้างมาก รถก็เลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่นั่น ประมาณยี่สิบนาทีจึงจะเริ่มออกนอกเขตสนามบิน มุ่งตรงสู่อุโมงค์ลอดใต้ภูเขา

พอพ้นอุโมงค์เท่านั้นล่ะ น่าตื่นเต้นมาก ตอนก่อนข้ามสะพานพบว่าแถวนั้นมีแต่ตึกกับกองตู้คอนเทนเน่อร์ เรียกได้ว่าถ้าจะมีหุ่นยนต์มาเดินก็คงไม่น่าประหลาดใจ จากนั้นก็มาถึงฝั่งเกาลูน สองฝั่งได้อารมณ์เยาวราชมาก ระหว่างนั่งรถอยู่ก็พยายามมองชื่อถนนรอบ ๆ แล้วเทียบกับแผนที่ แต่ก็ไม่เจอ หรือไม่ก็เจอเมื่อผ่านถนนนั่นมาแล้วสักพัก จนเห็นป้ายใหญ่ ๆ ว่า Whampoa อะไรสักอย่างนั่นล่ะ จึงรีบลงไปถามคนขับ เพราะดูในแผนที่มันใกล้ถึงโรงแรมแล้ว คนขับก็บอก "เย่ เน็กซท์ สต็อป" แล้วก็จอด

ลงมาเดิน อ่านป้าย แล้วก็เดินตามป้ายไปจนถึงหน้าโรงแรม

ต่อตอนหน้า

Red Mob, Red Cross

เมื่อวานเพื่อนที่ฝึกงานอยู่ที่เนชั่นจะไปทำข่าวเรื่องกลุ่มนักศึกษาเสื้อแดง เลยขอตามไปม็อบด้วย

ไม่เคยไปมาก่อน พบว่าบรรยากาศครื้นเครงดี ถ่ายรูปมั่วซั่วมานิดหน่อย

มหกรรมดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 36 ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

กลับมาจากขอนแก่นเมื่อวานเย็น ๆ เพราะไปร่วมงาน "มหกรรมดนตรีไทยอุดมศึกษา ครั้งที่ 36" กับชุมนุมดนตรีไทยที่ธรรมศาสตร์นี่ ปีนี้มหาวิทยาลัยขอนแก่นเป็นเจ้าภาพ ได้บรรยากาศไปอีกแบบ (ปีที่แล้วไปมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงที่เชียงรายมา) ไปถึงโน่นวันที่ 5 กลับมานี่วันที่ 8

Subscribe to travel