university

ย้ายหอ

ชีวิตหอพักเริ่มต้นเมื่อ ม. 4 มันเริ่มด้วยชุดนักเรียนสามสี่ชุด เสื้อยืดกางเกงนิดหน่อย ชุดนักศึกษาวิชาทหาร แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ขันน้ำ สบู่ ยาสระผม กาละมัง ถุงเท้ารองเท้า ดูคล่องตัวมาก กระเป๋าใบเดียวอยู่

แต่แล้วมันก็เริ่มมีอะไรเพิ่มเข้ามา หนังสือ ของกิน แฟ้ม กีต้าร์ คอมพิวเต้อร์ ไม้ปิงปอง ไม่รู้จะเก็บตรงไหน (หรือเก็บอย่างไร)

พอเข้าหอพักมหาวิทยาลัยก็เหมือนกดรีเซ็ต เริ่มต้นคล้ายเดิม เสื้อผ้า เครื่องอาบน้ำ กีต้าร์ คอม (ยังพอถือสองมือได้)

สี่ปีผ่านไป หนังสือเป็นตั้ง แฟ้ม เสื้อผ้า เพิ่มขึ้นมาจากไหนวะ

ถึงเวลากดปุ่มรีเซ็ตอีกรอบ

แปรงฟันแล้วอ๊อก

ห้องน้ำที่หอเป็นห้องน้ำรวม แล้วห้องผมอยู่หน้าห้องน้ำพอดี ชีวิตปกติสุขมาเรื่อย ๆ จนเทอมสุดท้ายนี่ เหมือนว่าจะมีคนย้ายเข้ามาใหม่ เขาเป็นคนที่น่าจะอ่อนไหวต่อสิ่งรบกวนในช่องปากพอสมควร เพราะทุก ๆ วัน เช้าและดึก ผมจะได้ยินเสียง

"อ๊อก"

พยายามจินตนาการเหมือนเสียง "อูแหวะ" เวลาเราคลื่นไส้และอาเจียน แต่เร็ว ๆ สั้น ๆ เข้าใจว่ามันเป็นอาการคลื่นไส้ที่เกิดขึ้นเมื่อเราแปรงฟันและหัวแปรงมันเข้าไปลึก เกือบถึงคอหอย ร่างกายเลยแสดงอาการต่อต้านโดยอัตโนมัติ

แต่ปัญหาคือบ่อยครั้งมันไม่ใช่แค่ "อ๊อก" แต่เป็น

"อ๊อก... อั๊วะ... อุ๊... แอว้ะ..."

บางทีเกือบสิบครั้งติดต่อกัน แล้วเสียงมันดังเพราะควบคุมไม่ได้ กลไกอัตโนมัติ ไอ้เราก็แบบ ไอ้เหี้ยยยยยยยย (ขออภัย) มึงชอบเหรอความรู้สึกนี้ ทำไมไม่อ้วกไปซะเลยล่ะ เสียงแบบ ฟังแล้วจะอ๊อกตาม

จริง ๆ แล้วก็พอเข้าใจนะ ตอนเป็นเด็กก็จำได้ลาง ๆ ว่าเคยเป็น โตมาก็หายไป หมอนี่ยังทนอยู่ได้ไง

ที่เขียนนี่เพราะเมื่อสิบนาทีก่อนเขามาอ๊อกให้ได้ยินอยู่

ใจหาย

ช่วงนี้รู้สึกโหวง ๆ

บอกไม่ถูก คือมันโล่ง ๆ หวิว ๆ (แต่ไม่วาบหวาม)

มันคงเป็น Quarter-Life Crisis เรียกว่าอะไรดี วิกฤตวัยสลึง/วัยกระเบียด/วัยกั๊ก เรอะ (ฮา)

ตั้งแต่เกิดมามันก็ดูจะมี "เป้าหมายต่อไป" ตลอด จบประถมก็เข้าโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด (บ้านใกล้ จับฉลากได้ ไม่ต้องลุ้น) จะอยู่ต่อถึงมอหกก็ได้ แต่ดันมาโผล่อยู่นครปฐมสามปี แล้วก็เด้งมาอยู่ปทุมธานีอีกสี่ปี

คือแต่ละช่วงที่ผ่านมามันค่อนข้างแน่นอน อาจไม่แน่นอนว่าไปที่ไหน แต่ก็พอจะรู้ว่าต้องไปอยู่ในบรรยากาศไหน

แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน ไอ้ทางเลือก เรียนต่อ/ทำงาน มันก็ถือว่าเป็น "เป้าหมายต่อไป" ได้อยู่ แต่มันดูไม่แน่นอนเอาซะเลย

เมื่อสักครึ่งปีก่อนก็บ่นอยู่นั่นว่าเบื่อ เมื่อไรจะเรียนจบ พอมันมาถึงแบบพรุ่งนี้มะรืนนี้แล้วก็รู้สึกว่า เฮ้ย! เร็ว!

พูดว่าเวลาผ่านไปเร็วก็ไม่ใช่ นั่งจัดการไฟล์ในคอมเครื่องเก่ามันก็นึกย้อนไปได้เยอะมาก แต่ละปีทำเรื่องบ้าบออะไรไว้บ้าง

ไม่อยากจะใช้คำนี้เลย รู้สึกว่ามันเลี่ยน น้ำเน่า แอบด่าคนอื่นในใจไว้เยอะ

แต่ใจหายจริง ๆ นะ

ห้ามข้าม

หญ้าบนเกาะกลางถนนที่มหาวิทยาลัยกำลังงอกงาม งอกงามจนคนดูแลคงจะกลัวคนมาเหยียบให้เหี่ยวเฉา เลยเอาเชือกมาขึงตลอดแนวยาวมาก เว้นแค่จุดที่มีอิฐปูให้ข้าม

ทีนี้ อะไรน่าดูกว่ากัน ระหว่างเกาะกลางถนนที่หญ้าถูกคนเดินเหยียบบ้าง กับเกาะกลางถนนที่มีเชือกเส้นโต (สีน้ำเงินซะด้วย) ขึงสูงระดับเอวตลอดแนวยาว

เสียงรบกวนจากงานเลี้ยงในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต

เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อกี้นี่เอง กรุณาอ่านข้อมูลประกอบเหล่านี้ก่อน

  • หอสมุดในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีหลัก ๆ สองที่ คือ หอสมุดป๋วย อึ๊งภากรณ์ เก็บหนังสือทุกประเภท และหอสมุดศูนย์รังสิต เก็บหนังสือสายวิทยาศาสตร์
  • วันนี้หอสมุดป๋วยฯ ปิดสามทุ่ม แต่หอสมุดศูนย์รังสิตปิดห้าทุ่ม เพราะยังมีบางคณะสอบอยู่
  • ผมเข้าใจว่าบุคคลภายนอกสามารถขอเช่าพื้นที่มหาวิทยาลัยจัดงานต่าง ๆ ได้
  • ผมเข้าใจว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในบริเวณมหาวิทยาลัยเป็นเรื่องต้องห้าม

ผมนั่งอยู่ที่หอสมุดป๋วยตั้งแต่บ่ายแก่ ๆ ฟังเพลงไปเรื่อย ๆ พอห้องสมุดใกล้ปิด (สามทุ่ม) ก็ถอดหูฟังออก เตรียมเก็บข้าวของย้ายไปอีกหอสมุดหนึ่ง หูพลันได้ยินเสียง ตึก โป๊ะ ตึก โป๊ะ เดินออกมาข้างหน้าจึงได้รู้ว่ามีคอนเสิร์ตอยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัย (เข้าใจว่าเป็นเอกชนมาเช่าที่) ฟังดูเสียงน่าจะมาจากทางลานพญานาค ไม่ก็ศูนย์กีฬาทางน้ำ (สองที่นี้อยู่ติดกัน)

แล้วเสียงแม่งดังโคตร ๆ ที่อยู่ใกล้ลานพญานาคที่สุดคือหอพักทียูโดม (ห่างกันแค่ข้ามถนน) ผมเดินจากหอสมุดป๋วยมาจนใกล้หอพักใน เสียงแม่งก็ยังคงกึกก้อง เนื่องจากตึกต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัยเป็นตัวช่วยสะท้อนเสียงอย่างดี

จากนั้นก็เดินเลี้ยวมาหอสมุดศูนย์รังสิต ระหว่างทางก็เจออีกงานเลี้ยงนึง เข้าใจว่าเป็นของเจ้าหน้าที่ตึกนั้น แม่ง เสียงดังพอกัน ตอนเดินผ่านนี่งานใกล้เลิกแล้ว เห็นมีขวดเบียร์วางอยู่บ้างด้วย เดินเข้ามาในห้องสมุดก็ยังมีเสียง ตึบ ตึบ ตึบ อยู่ อัดคลิปมาให้ดูด้วยว่ามันใกล้แค่ไหน (จริง ๆ ตอนอยู่ในหอสมุดก็ได้ยินเสียงแล้ว แต่ไมโครโฟนมือถือมันห่วยเกิน)

ดูแผนที่ประกอบได้ หอสมุดศูนย์รังสิตที่เบอร์ 3 หอสมุดป๋วยฯ ที่เบอร์ 4 งานเลี้ยงเจ้าหน้าที่ที่เบอร์ 2 คอนเสิร์ตที่เบอร์ 39 ไม่ก็ 41

ในคลิปนี่คือเดินจากในห้องสมุดออกมาให้ดูว่า แค่ออกมาข้างหน้าก็เจองานเลี้ยงพร้อมลำโพงขนาดยักษ์แล้ว

ตอนนั่งพิมพ์อยู่นี่ก็ได้ยินเสียง ไม่รู้จากเวทีไหน อนิจจา

ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป

วันนี้ตื่นเช้าจะไปคุมแหล็บ เผื่อเวลาไว้ค่อนข้างดี ออกจากหอมาก็ไปรอรถเพื่อเดินทางไปคณะ

การเดินทางไปแถว ๆ คณะวิศวกรรมศาสตร์ SIIT หรือสถาปัตยกรรมศาสตร์เนี่ย แม่งลำบากหน่อย คือมีรถฟรีผ่านแค่สายเดียวคือสายหนึ่ง รถสองแถว (สี่บาท) ก็ผ่านอยู่สายเดียว ถ้ามอเตอร์ไซค์ก็สิบห้าบาท

เดินมาถึงป้ายรถริมถนนก็ยืนรอรถ รออยู่นาน (กว่าปกติ) วันนี้มันเป็นอะไรมีแต่รถสายสองสายสาม คงเพราะเป็นวันสอบ สักพักสองแถวสายหนึ่งก็มา ไม่มีคนเลย ก็ขึ้นไปนั่งคนเดียว สองแถวก็จอดรอคนขึ้นเพิ่ม ก็ยังไม่มี ก็นั่งอยู่อีกนาน เห็นรถฟรีสายหนึ่งกำลังมาพอดี ไอ้เราก็คิดว่า ถ้าเราลงจากรถสองแถวนี่ไป เขาก็ต้องรอต่อ หรือต้องวนไปวนมา เลยนั่งต่อ แค่สี่บาทเอง

รถฟรีสายหนึ่งแม่งเริ่มใกล้เข้ามา จนพอมันจะผ่านไปนั่นล่ะ ลุงคนขับก็เคาะกระจกบอก เอ้า ไปขึ้นรถฟรีไป แล้วก็ไล่ลง หยิบป้ายมาเปลี่ยนแปลงร่างเป็นสายสอง ไอ้เราก็ลงมายืนมองรถฟรีแล่นหายลับไปกับตา รถสองแถวนั่นพอเปลี่ยนเป็นสายสอง คนก็ขึ้นกันเพียบ แล้วก็แล่นหายลับไปกับตา

สุดท้ายยืนรอต่อไป จนมีมอเตอร์ไซค์ผ่านมาจึงเดินทางไปถึงคณะได้ สายไปหนึ่งนาที

คราวหน้าถ้าผมนั่งอยู่บนสองแถว แล้วเห็นรถฟรีเส้นทางเดียวกันผ่านมา ก็คงจะลงจากสองแถวแล้วไปขึ้นรถฟรีได้อย่างสบายใจสินะ

ป.ล. หัวข้อมันเกี่ยวอะไรกับเนื้อหาวะครับ

คอขวดของอินเทอร์เน็ตมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

หลังจาก พรบ. ว่าด้วยการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ ถูกประกาศใช้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ติดตั้งระบบลงทะเบียนก่อนเข้าใช้อินเทอร์เน็ต นั่นคือทุกคนที่ใช้ Wi-Fi ของมหาวิทยาลัย เมื่อเริ่มต้นเข้าหน้าเว็บใด ๆ จะถูกนำไปพบกับหน้าลงทะเบียนก่อน หากกรอกชื่อผู้ใช้กับรหัสผ่านที่ได้รับแจกมาเมื่อปลายปีที่แล้ว ก็จะสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ (พร้อมกับถูกบันทึกการใช้งานทุกฝีคลิก)

ฟังดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่ประเด็นก็คือ เท่าที่ผมเดาเอาอย่างไม่ค่อยมีความรู้เท่าไร โปรแกรมลงทะเบียนเข้าใช้อินเทอร์เน็ต (และฐานข้อมูล) เนี่ย มันน่าจะถูกติดตั้งอยู่ในคอมพิวเตอร์แค่เครื่องเดียว (สังเกตจากหมายเลข IP ของหน้าเว็บที่ใช้ลงทะเบียน ใช้ที่ไหน ๆ ก็ถูกเด้งไป IP นั้น) แล้วปัญหาก็คือ วันหนึ่ง ๆ จะมีคำขอลงทะเบียนเข้าใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมาก ถูกส่งไปยังเครื่องนี้ ทำให้กว่าจะเริ่มเข้าหน้าเว็บลงทะเบียนนั้นได้ มันค่อนข้างช้า ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเครื่องนี้มันเสือกดับ หรือฐานข้อมูลมันหยุดทำงาน ก็น่าจะไม่มีใครใช้ Wi-Fi ได้เลย (เพราะเรียกหน้าลงทะเบียนไม่ขึ้น หรือกรอกรหัสผ่านไปแล้วผลออกมาเป็นรหัสผ่านผิด ทั้ง ๆ ที่บันทึกเอาไว้ในเบราเซ่อร์) เป็นคอขวดที่น่าอนาถพอสมควร

ต้องออกตัวไว้ก่อนว่าที่กล่าวข้างบนนี้ เกิดจากการสังเกตเท่านั้น แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้อยู่ที่หอพัก ผมกลับต้องส่งเอนทรี่นี้จากอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมต่อผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่

รับปริญญาน่ายินดี (ขนาดนั้น?)

แล้วฤดูแห่งการรับปริญญาบัตรก็เวียนมาถึงอีกครั้ง คงเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากสำหรับคนหลาย ๆ กลุ่ม ทั้งผู้ที่เพิ่งจบการศึกษา ครอบครัวของพวกเขาและเธอ หรือนักศึกษา-ประชาชนที่หวังจะสร้างรายได้จากคนกลุ่มก่อนหน้า

ผมไปสัมผัสบรรยากาศงานซ้อมรับปริญญาบัตรมาสองหน ปีที่แล้วกับสองปีที่แล้ว ที่ไปก็ไปช่วยเพื่อน ๆ ขายเครื่องดื่มจำพวกน้ำอัดลม ชาเขียว เพื่อหารายได้เข้าชุมนุม ดูเหมือนมันจะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข (ถ้าไม่สนใจความทรมานจากอากาศร้อน) ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงก็แห่กันมาแสดงความยินดีกับหนุ่มสาวที่เรียนจบจนได้ ให้ของขวัญ ถ่ายรูป โห่ร้องอะไรกันก็ว่าไป ดูมันช่างน่ายินดีมาก ๆ น่ายินดีจนผมสงสัยว่า

มันน่ายินดีขนาดนั้นเลยหรือ (วะ)

นึกย้อนกลับไปตอนเรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 ผมไม่เคยเห็นบรรยากาศของความยินดีขนาดนี้ (หรือมันมีแต่โรงเรียนผมไม่มีหว่า แต่ผมก็ไม่เคยได้ยินว่ามีการรวมญาติมาถ่ายรูปในวันจบ ม. 6 นะ) ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นผมรู้สึกว่าเรียนจบ ม. 6 ได้เนี่ย มันโคตรจะน่าดีใจ ไม่ต้องตื่นไปโรงเรียน ไม่ต้องทำการบ้าน มีเวลาไปเที่ยว นอน เล่นเกม ดูหนัง

หรือถ้าจะบอกว่าเรียนมหาวิทยาลัยมันยากกว่า ผมว่ามันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น ออกจะสบายกว่ามัธยมด้วยซ้ำ หรือจะบอกว่ามันคือก้าวแรกไปสู่สังคมผู้ใหญ่ หางานทำ ดูแลตัวเองอะไรทำนองนั้น ผมว่าคนเรามันไม่น่าจะเพิ่งมารับผิดชอบชีวิตตัวเอง (หรือเห็นว่าต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเอง) กันตอนอายุยี่สิบสองนะ หรือถ้าจะเห็นว่าการศึกษาระดับปริญญาตรีมันเป็นใบเบิกทางไปสู่การมีอาชีพ มันก็จริง (ซึ่งผมก็ไม่ค่อยชอบค่านิยมนี้นะ) แต่มันต้องถึงขนาดหมดเงินกันเป็นหมื่น ๆ ไปกับช่วงเวลาสั้น ๆ นี้น่ะหรือ

ผมคิดเล่น ๆ หาคำตอบให้กับตัวเองได้ว่า เพราะตัวปริญญาบัตรเอง (และพิธีต่าง ๆ มากมาย) นั่นแหละ ที่ทำให้เกิดงานฉลองรวมญาติโห่ร้องยินดีอะไรกันขนาดนี้ เหมือนว่าปริญญาบัตรมันเป็นสัญลักษณ์ของการเลื่อนขั้นในสังคม เพราะในสมัยก่อนคนที่เรียนจบปริญญาตรีน่าจะมีจำนวนจำกัด (จริง ๆ สมัยก่อนกว่านั้นก็คงมีคนจบมัธยมไม่มาก แต่ว่าตอนจบ ม. 6 คงไม่มีสมาชิกราชวงศ์มาพระราชทานเกียรติบัตรให้) แล้วก็แสดงความยินดีกันจนเป็นประเพณีขนาดนี้

บางคนก็บอกว่างานรับปริญญามันไม่ใช่งานของคนที่เรียนจบ แต่เป็นงานของครอบครัว ที่ได้เห็นลูกหลานเรียนจบ เรื่องนี้ผมว่าก็แปลก คือถ้าคนที่เรียนจบมันเก่งขนาดจบเร็วกว่าคนอื่น หรือได้เกียรตินิยม ผลการเรียนดี มีผลงานอะไร มันก็น่ายกย่องยินดีมากอยู่ แต่การเรียนจบตามเกณฑ์แบบที่คนอีกนับพันก็ทำได้มันก็ไม่ได้น่ายินดีขนาดนั้น น่าเสียดายเงินค่าเช่าชุด ค่าแต่งหน้า ค่าเสื้อผ้า ค่าทำผม ค่าดอกไม้ ค่าของขวัญ ค่าเดินทาง ฯลฯ

อีกอย่างหนึ่งที่ผมเห็นว่ามันบ้ามากก็คือ การเข้าไปร้องเพลงบูมแสดงความยินดีให้กับบัณฑิต แล้วปิดท้ายด้วยกล่องใส่เงิน จริง ๆ มันก็ไม่แปลกเท่าไร เพราะใคร ๆ ก็อยากได้เงิน ที่บ้ามากกว่าคือบัณฑิตเองนั่นแหละ เสือกจ่าย คือถ้ารู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของคนที่มาร้องเพลงบูมให้จนอยากจะบริจาคเงินให้มันก็ดี แต่แบบที่รู้สึกกระอักกระอ่วนหรือถูกกดดันจนต้องควักเงินออกมาเนี่ย มันอะไรกันวะ เงินก็เงินตัวเอง คนมาร้องเพลงบูมให้ก็ไม่ได้ขู่จะเอาชีวิต จะว่าเกรงใจก็ไม่ใช่เพราะไม่ได้ขอให้ร้อง เออ แต่ไปวิจารณ์ก็จะกลายเป็นเสือกไป เงินของเขา

ลูกมือ

คุณคิดว่าเวลาสี่ปีสำหรับปริญญาตรีนี่มันเป็นอย่างไร หมายถึงว่า น้อยไป หรือมากไป ส่วนมากคงคิดว่าสี่ปีนี่นาน คงอยากรีบจบออกไปทำงานหรือเรียนต่อกันแย่แล้ว

สืบเนื่องจากผมเพิ่งผ่านการสอบกลางภาคไปหมาด ๆ และช่วงสอบก็โอดครวญเหมือนคนส่วนมากว่า อ่านไม่ทัน เวลาไม่พอ อะไรก็ว่ากันไป เมื่อพยายามไม่คิดเข้าข้างตัวเอง ที่เหลือก็เป็นความผิดของผมเองที่ไม่ตั้งใจเรียนตั้งแต่ในคาบ เมื่อคิดต่อไปว่าแล้วในคาบผมทำอะไร ก็พบว่ามัวแต่หลับ หรือไม่ก็ทำการบ้าน แล้วเวลาตอนกลางคืนหายไปไหนหมด ส่วนมากก็เอาไปนั่งอ่านบล็อก อ่านข่าวสาร เล่นทวิตเต้อร์ แล้วก็ทำงาน

สรุปก็คือ ทำไมมีเวลาไม่พอ

ถ้าตอบตามความคิดคนทั่วไปก็คงเป็นเพราะว่าผมจัดสรรเวลาได้ห่วยเอง จึงต้องเจอปัญหาลูกโซ่ คือต้องใช้เวลาที่ควรจะทำอะไรสักอย่าง ในการทำอะไรอีกสักอย่างที่ผ่านมาแล้ว อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดสุดยอด คือต้องจัดการทุกอย่างเกี่ยวกับการเรียนให้เสร็จในช่วงก่อนสอบ ยิ่งในบางมหาวิทยาลัยจะชอบส่งเสริมนักว่าให้ทำกิจกรรมนอกเวลาเรียน แค่เรียนนี่ก็จะแย่แล้ว!

แต่ด้วยความที่ไม่อยากโทษตัวเอง ผมขอหันไปโทษสังคมแทนก็แล้วกัน (ว่าเข้านั่น!)

Subscribe to university